ปัจจุบันประเทศไทย
มีเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปี
ที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาใด ๆ 1,025,514 คน
ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนปัญหาสังคม แต่ยังเป็น “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจให้ต่ำกว่าศักยภาพ
โครงสร้างประชากรไทย วัยแรงงานกำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ และล่าสุดมีจำนวนน้อยกว่าสัดส่วนกลุ่มที่ไม่ใช่วัยแรงงาน ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ทำให้เป้าหมายการหลุดจากประเทศกับดักรายได้ปานกลางจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ปัจจุบันประชากรไทยมีรายได้เฉลี่ยราว 20,000 บาท ซึ่งยังห่างจากเป้าหมายประเทศไทยในอีก 20 ปี ที่ตั้งเป้าไว้รายได้เฉลี่ยไว้ที่ 38,000 บาท ซึ่งคิดเป็น เกือบ 2 เท่า
การลงทุนในเด็กเยาวชนวันนี้ จะช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงเกือบสองเท่า แต่เป้าหมาย Education For All จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ต่อจากนี้ภาครัฐ ภาคเอกชนมีหน้าที่ช่วยกันให้เด็กทุกคนในชาติไทยไม่หลุดไปจากระบบการศึกษาอีก

มีผู้ยื่นภาษีเพียง 17% เลือก ‘บริจาคเงินเพื่อการศึกษา’
ไกรยส ภัทราวาส ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ย้ำว่าหนึ่งในแนวทางสำคัญคือการสนับสนุนการศึกษา ผ่านการบริจาคเงินเพื่อการศึกษา ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเป็น Win-win situation ที่สามารถเสริมสร้างคุณภาพการศึกษา ไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว กสศ. จึงร่วมกับสถาบันวิทยาการตลาดทุน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้วิเคราะห์ข้อมูลการลดหย่อนภาษี พบว่า แม้การบริจาคเพื่อการศึกษาสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึงสองเท่า แต่ยังมีผู้ใช้สิทธิน้อยกว่าที่ควร โดยข้อมูลสำคัญจากกรมสรรพากร เผยว่า
- ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียง 17% บริจาคเพื่อการศึกษา รวมเป็นเงิน 11,000 ล้านบาท หรือ 0.3% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย
- นิติบุคคลใช้สิทธิบริจาคเพื่อการศึกษาเพียง 0.2% ของรายได้ก่อนหักภาษี จากสิทธิที่สามารถใช้ได้สูงสุดถึง 2%
- ผู้มีรายได้สูง ไม่ถึง 1 ใน 3 ใช้สิทธิลดหย่อนด้วยการบริจาคเฉลี่ยเพียง 1% ของรายได้ และที่น่าตกใจคือ ผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 5 ล้านบาทต่อปี ไม่ใช่กลุ่มบุคคลที่บริจาคเพื่อการศึกษามากที่สุด
ไกรยส เปิดเผยว่า ภาคเอกชนในประเทศไทยสร้างรายได้ในแต่ละปี พอ ๆ กับมูลค่างบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นหากเอกชนสามารถนำกำไรบางส่วนมาร่วมลงทุนกับภาครัฐเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา จะส่งผลให้เยาวชนในวันนี้มีโอกาสพัฒนาตนเองจนกลายเป็นแรงงานที่มีศักยภาพสูงขึ้นในอนาคต เยาวชนเหล่านี้จะกลายเป็นผู้มีกำลังซื้อสูง สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเอกชน และสร้างรายได้ภาษีเพิ่มเติมให้กับรัฐ

เหตุที่ต้องลงทุนการศึกษาเพิ่มเติม เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยเติบโตเชื่องช้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เอกชนหลายรายหันไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งในด้านการจัดตั้งสำนักงาน การจ้างงาน และการดำเนินงาน หากเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องเพียง 3-5% ต่อปี เอกชนจะสามารถลงทุนและสร้างกำไรในประเทศได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประเมินว่า หากประเทศไทยสามารถลดจำนวนเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 1.7% ของ GDP ปัจจุบัน ซึ่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ที่ระดับ 2-3% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาระลอกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น คือจำนวนประชากรแรงงานกำลังลดน้อยลง ในขณะที่ผู้สูงวัยมีเพิ่มมากขึ้น
เพียง 16% ของผู้มีรายได้สูง เลือกบริจาคเงินเพื่อการศึกษา
และบริจาคเฉลี่ยต่อคนไม่ถึง 1% ของรายได้
หากแจกแจงสัดส่วนจำนวนผู้ใช้สิทธิลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อการศึกษาจำแนกตามระดับรายได้ พบว่า กลุ่มผู้บริจาคเพื่อการศึกษามากที่สุดไม่ใช่กลุ่มผู้มีรายได้สูงสุด แต่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงรองลงมา (2 ล้าน – 5 ล้านบาทต่อปี) ยื่นบริจาคให้การศึกษาถึง 34.4% ขณะที่บุคคลที่มีรายได้ขั้นต่ำสุดที่เข้าเกณฑ์เสียภาษี (1.5 แสน – 3 แสนบาทต่อปี) ยื่นบริจาคเพื่อลดหย่อนเพียง 6% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มประชากรผู้เสียภาษีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเกณฑ์เสียภาษีขั้นต่ำ (1.5 แสน – 3 แสนบาทต่อปี ราว 1.8 ล้านคน) ดังนั้นก้อนเงินบริจาคจากผู้มีรายได้สูงจึงไม่ได้มากนัก กล่าวคือ เงินบริจาคเพื่อการศึกษาส่วนใหญ่มากจากเงินผู้เสียภาษีที่มีรายได้น้อย และหากนำค่าเฉลี่ยเงินบริจาคเพื่อการศึกษาต่อรายมาคำนวณกับฐานภาษีขั้นต่ำในแต่ละระดับรายได้ จะพบว่า สัดส่วนเงินบริจาคให้การศึกษาต่อรายได้ขั้นต่ำจะอยู่ที่ 1% – 2% เท่านั้น และกลุ่มผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ (1.5 แสน – 3 แสนบาทต่อปี) คือกลุ่มคนที่บริจาคให้การศึกษาในสัดส่วนที่มากกว่าผู้มีรายได้สูงเสียอีก
ผู้จัดการ กสศ. จึงชี้ว่า ผู้ยื่นภาษียังสามารถใช้สิทธิเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ดังนั้นการมีกลไกจูงใจลดหย่อนภาษีผ่านการบริจาคเงินจึงเป็นสิ่งที่รัฐต้องทำให้เห็นด้วย
ระดับรายได้ | สัดส่วนจำนวนผู้ใช้สิทธิลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อการศึกษา | ค่าเฉลี่ยเงินบริจาคเพื่อการศึกษาต่อราย (ที่ใช้สิทธิลดหย่อน) |
150,000 – 300,000 บาท | 6% | 4,211 บาท |
300,000 – 500,000 บาท | 12.90% | 5,755 บาท |
500,000 – 750,000 บาท | 16.90% | 7,454 บาท |
750,000 – 1,000,000 บาท | 15.10% | 8,038 บาท |
1,000,000 – 2,000,000 บาท | 21.50% | 11,076 บาท |
2,000,000 – 5,000,000 บาท | 34.40% | 22,222 บาท |
5,000,000 บาท ขึ้นไป | 16.20% | 78,393 บาท |
คนไทยบริจาคให้กุศลสาธารณะฯ มากกว่าการศึกษา
แม้มีโบนัสลดหย่อนได้ 2 เท่า
ปัจจุบัน การบริจาคเพื่อการศึกษา ยังได้รับการตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร ไกรยส วิเคราะห์ว่า เนื่องจากผู้บริจาคขาดความเชื่อมั่นว่าเงินที่บริจาคจะถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพและถึงมือผู้รับที่แท้จริง โดยยกตัวอย่างความสำเร็จของการออกหุ้นกู้เพื่อการศึกษา โดยบริษัทแสนสิริ ที่ระดมทุน 100 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาการศึกษาที่จังหวัดราชบุรี หุ้นกู้ดังกล่าวขายหมดภายในไม่กี่นาที เนื่องจากมีความชัดเจนในเรื่องผลตอบแทนและเป้าหมาย
กสศ. ยังพบข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ส่วนใหญ่แล้วคนไทยบริจาคเพื่อการลดหย่อนภาษีไปกับการกุศลสาธารณะฯ ศาสนประโยชน์ อย่างเช่น วัด เป็นต้น โดยในปี 2565 มียอดบริจาครวมทั้งสิ้น 16,504 ล้านบาท ขณะที่ยอดบริจาคเพื่อการศึกษา และสาธารณูปการอื่นๆ อยู่ที่ 11,442 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2560 เกือบเท่าตัว แต่ก็ยังน้อยกว่าการบริจาคเพื่อการกุศล แม้ว่าการบริจาคเงินเพื่อการศึกษา โรงพยาบาลรัฐ จะสามารถนำไปลดหย่อนได้ 2 เท่าจากยอดบริจาคก็ตาม
(หน่วย: ล้านบาท) | ปี 2560 | ปี 2561 | ปี 2562 | ปี 2563 | ปี 2564 | ปี 2565 |
บริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะฯ ศาสนประโยชน์ | 16,832 | 15,463 | 14,957 | 14,176 | 14,416 | 16,504 |
บริจาคเพื่อการศึกษา และสาธารณูปการอื่นๆ | 6,018 | 8,038 | 7,787 | 8,229 | 10,131 | 11,442 |
เงินบริจาคเพื่อการกุศลฯ จะสูงกว่าเงินบริจาคเพื่อการศึกษาอยู่โดยตลอด หรือบางปีต่างกันถึง 3 เท่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า การบริจาคเงินเพื่อการศึกษาผ่านโครงการลดหย่อนภาษียังถูกมองว่า “ไม่มีความชัดเจน” ผู้บริจาคอาจเปรียบเทียบกับการทำบุญที่วัดซึ่งสะดวกและจับต้องได้ง่ายกว่า ผู้จัดการ กสศ. จึงเสนอว่า หากมีการสื่อสารผลลัพธ์ที่ชัดเจน และโปร่งใส เช่น การแสดงผลสำเร็จของเด็กที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดให้ผู้บริจาคทั้งภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปหันมาสนับสนุนมากขึ้น
“จะช่วยวัด โรงเรียน หรือโรงพยาบาลก็ได้กุศลทั้งนั้น แต่นอกเหนือไปจากเรื่องของบุญกุศล หากเม็ดเงินนั้นสามารถเปิดเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนทางบวกในสังคม หรือประโยชน์สาธารณะ ก็อาจทำให้ผู้คนสัมผัสถึงได้ และอยากหันมาบริจาคกันมากขึ้น”
ไกรยส ภัทราวาส
เงินบริจาคเพื่อการศึกษาที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ต้องบริจาคให้สถานศึกษาของรัฐ โรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศในพื้นที่ EEC (Eastern Economic Coridor) โดยใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหา/จัดสร้างอาคาร อุปกรณ์การศึกษา หนังสือ สื่อ เทคโนโลยี ทุนการศึกษา การวิจัย หรือจัดหาครูและผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานศึกษาที่เข้าข่ายได้ที่ www.rd.go.th