เหตุการณ์อุทกภัยสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การพูดคุยเรื่องแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ตรงจุด และเพียงพอในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชน
แต่เงินเยียวยาและฟื้นฟู จะมาจากไหน ? เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center รวบรวมข้อมูลเอาไว้ โดยพบว่าเวลานี้เรามีกระเป๋าเงินเยียวยาน้ำท่วมทั้งหมด 4 ทางด้วยกัน
กระเป๋าที่ 1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ./เทศบาล/อบต.)
ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถเข้าช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูได้ ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะประกาศเขตประสบภัยพิบัติหรือไม่ แต่ข้อจำกัดของกระเป๋านี้ เงินของท้องถิ่นคือ มีวงเงินงบประมาณจำกัด และยังมีขอบเขตการใช้เงินที่จำกัด ทำให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทำได้จำกัดไปด้วย และท้องถิ่นต่างๆ จึงมักเร่งให้ทางจังหวัดเข้ามาช่วยเหลือ และประกาศเขตภัยพิบัติ เพื่อใช้เงินในกระเป๋าที่ 2 ตามมา
กระเป๋าที่ 2 เงินทดรองราชการสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
การประกาศของทางจังหวัด โดยกระเป๋าในส่วนนี้ ยังมี 2 ก้อนคือ ก้อนแรกสำหรับการป้องกันหรือยับยั้ง ไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยไม่ต้องประกาศเขตภัยพิบัติ และ ก้อนที่สอง คือการช่วยเหลือประชาชนเมื่อมีการประกาศเขตภัยพิบัติ โดยมีวงเงิน 20 ล้านบาทในแต่ละจังหวัด
นอกจากนี้ ยังมีงบฯ ก้อนนี้อยู่ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 50 ล้านบาท และแต่ละกระทรวง จะมีงบฯ ก้อนนี้อยู่ในช่วง 10-100 ล้านบาท (กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงละ 10 ล้านบาท, กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงกลาโหม กระทรวงละ 50 ล้านบาท, สำนักนายกรัฐมนตรี 100 ล้านบาท)
โดยการเยียวยาสามารถทำได้ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนด เช่น ซ่อมแซมบ้านหลังละไม่เกิน 49,500 บาท หรือไร่นาข้าวเสียหายเยียวยาไร่ละ 1,340 บาท เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นว่า กระเป๋าที่ 2 จะมีส่วนสำคัญในการเข้ามาเสริมการทำงานของกระเป๋าท้องถิ่น แต่ปัญหาที่มักพบก็คือ การประกาศเขตภัยพิบัติล่าช้า หรือไม่ประกาศเขตภัยพิบัติเลย แม้ว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นในพื้นที่แล้วก็ตาม รวมถึง อัตราในการช่วยเหลือเยียวยาอาจไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เช่น จะช่วยเหลือผู้มีฟาร์มหมู ไม่เกิน 10 ตัว แต่การเลี้ยงหมูจริง ๆ ในสภาพปัจจุบันที่ประสบภัยพิบัติ จะมีจำนวนหมูในฟาร์มสูงกว่านั้นมาก
กระเป๋าที่ 3 กรณีภัยพิบัติสร้างความเสียหายจนเงินกระเป๋าที่ 1 และ 2 ไม่พอ
เรียกว่า งบฯ กลาง สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่คณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติให้เบิกจ่ายได้ แต่ต้องกำหนดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ในการจ่ายเงิน ซึ่งการกำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงนี่แหละที่มักจะเกิดประเด็นว่า เงินในกระเป๋าที่ 3 จะสามารถใช้จ่ายและเยียวยาเพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องลงได้มากน้อยเพียงใด หรือนำไปสู่การตกหล่นของพี่น้องกลุ่มใดหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบฯ กลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3,045.5 ล้านบาท นั่นคือ เงินในกระเป๋าที่ 3 ที่มีพร้อมแล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอขอค่าดำรงชีพเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย ในช่วงตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
- กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 1 วัน (24 ชั่วโมง) แต่ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หรือที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
- กรณีที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 7,000 บาท
- กรณีมีที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 60 วัน ขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 9,000 บาท โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้เสนอของบประมาณ และกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขให้มี หนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ และต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย รวมถึงผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) สำหรับกรุงเทพมหานคร ต้องผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากสำนักงานเขตและกรุงเทพมหานคร
โดยคณะรัฐมนตรี กำหนดว่า ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
นี่คือตัวอย่างขั้นต้นของเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือของเงินกระเป๋าที่ 3 ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ขั้นต้นว่า “การกำหนดเกณฑ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงย่อมมีความสำคัญมากๆ สำหรับการช่วยเหลือในหน้างานจริง” และเมื่อเราพิจารณาจากเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดขึ้น เราก็จะมีข้อห่วงกังวลเบื้องต้นใน 2 ประเด็นคือ
ประเด็นแรก เกณฑ์การช่วยเหลือดังกล่าวใช้ “ระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมขัง” เป็นเกณฑ์ระดับความช่วยเหลือ แต่ความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยครั้งนี้ ไม่ได้สัมพันธ์กับระยะเวลาแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องลักษณะของการเกิดอุทกภัยด้วย เช่น หากเป็นน้ำป่าไหลหลากและมีโคลน/หน้าดินลงมาด้วยความเสียหายจะสูง แม้ว่าระยะเวลาที่น้ำท่วมขังจะไม่ถึง 7 วัน (บางกรณีอาจไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ เช่น บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา) ก็จะได้รับความช่วยเหลือเพียงขั้นต่ำสุดเท่านั้น
ประเด็นที่สอง วิธีการพิสูจน์น้ำท่วม ยังเป็นวิธีการที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีมาจับ เช่น ภาพจากดาวเทียม แต่ยังใช้กระบวนการทางปกครองในการรับรอง ทำให้อาจกินเวลาได้ถึง 90 วัน และอาจสุ่มเสี่ยงที่จะให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง หากมีการเล่นพรรคเล่นพวกหรือกลั่นแกล้งกันเกิดขึ้น
กระเป๋าที่ 4 รับบริจาค
โดยทางจังหวัดจะกำหนดเกณฑ์ในการใช้เงินบริจาคในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยในจังหวัดของตน ซึ่งแต่ละจังหวัดอาจกำหนดกฎเกณฑ์ได้เอง แต่ไม่ว่าจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นเพดานขั้นสูงอย่างไร สุดท้ายจำนวนเงินที่จะช่วยเหลือได้ ก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่มีเป็นหลัก เพราะฉะนั้น หลายคนจึงไม่อยากนับกระเป๋าที่สี่ เป็นกระเป๋าของรัฐบาล เพราะเงินในกระเป๋าไม่ได้มาจากรัฐบาล
ส่วนกรณีการล้างบ้าน จัดการดินโคลน ขยะ สามารถใช้งบประมาณได้จากส่วนไหน เดชรัต อธิบายเพิ่มเติมว่า จริง ๆ กระเป๋าใบที่ 1 ใบที่ 2 สามารถใช้ได้เลย แต่มีวงเงินงบประมาณจำกัด ส่วนกระเป๋าใบที่ 3 ก็ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ถ้ากำหนดให้ครอบคลุมก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
นั่นคือ ภาพของกระเป๋าทั้ง 4 ใบ และข้อจำกัดของการใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พรรคประชาชน จึงมีข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไขใน 4 ประการ ดังนี้
- เพิ่มเงินในกระเป๋าของท้องถิ่นให้มากขึ้น เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถใช้ในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ตรงจุด และทันท่วงที
- ถ่ายโอนอำนาจในการประกาศเขตภัยพิบัติให้แก่ท้องถิ่น เพื่อให้สามารถใช้เงินในกระเป๋าที่ 2 ได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น และหากมีความกังวลว่าจะมีการประกาศเขตภัยพิบัติที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ก็ให้มีกลไกที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำเรื่องเสนอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พิจารณาทบทวน ยืนยัน/ยับยั้ง การประกาศเขตภัยพิบัติที่ท้องถิ่นประกาศไปแล้วได้
- ควรทบทวนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดการจ่ายเงินในกระเป๋าที่ 2 ทั้งในส่วนของจังหวัด และในส่วนของกระทรวงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากขึ้น เช่น การกำหนดอัตราช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรให้ใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตของเกษตรกร หรือการกำหนดเพดานการช่วยเหลือให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิต/การเลี้ยงจริงของเกษตรกรมากขึ้น และทำให้ขั้นตอนในการขอรับความช่วยเหลือในกระเป๋าที่สองมีความกระชับ และนำเทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจสอบมากขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือ/เยียวยาเป็นไปโดยเร็วที่สุด
- การกำหนดกฎเกณฑ์ในกระเป๋าที่ 3 หรืองบฯ กลางฉุกเฉินเร่งด่วน ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง และหากสภาพข้อเท็จจริงในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน การใช้เงินในกระเป๋าที่สาม ก็ควรอนุญาตให้สามารถกำหนดเงื่อนไข/หลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันในระหว่างในพื้นที่