ในขณะที่ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้การรับรอง กฎหมายสมรสเท่าเทียม อย่างเป็นทางการ ทันการเฉลิมฉลองในเดือน Pride Month 2568 แต่สถานการณ์สิทธิ LGBTQ+ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เราได้เห็นการเคลื่อนไหวทางด้านกฎหมายและการยอมรับของกลุ่มเพศหลากหลาย (LGBTQIA2S+) รอบโลกที่สวนทางกับการเริ่มบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์


ข้อมูลจาก Equaldex ชี้ให้เห็นการดำเนินงานแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นภาพรวมของความคิด ความเชื่อ และการดำเนินงานเพื่อความเท่าเทียมต่อไปของแต่ละประเทศ
แม้ว่าภาพรวมของโลกจะดูเหมือนว่ามีการดำเนินงานเพื่อความหลากหลายมากกว่าการแก้กฎหมายเพื่อลดทอนสิทธิ แต่กลับมีประเทศที่ปรับกฎหมายให้ลิดรอนสิทธิ LGBTQ+ มากกว่าการดำเนินงานเพิ่มสิทธิเพื่อความเท่าเทียม

จูเลีย แอร์ท ผู้อำนวยการบริหารองค์กร ILGA World ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่ติดตามสถานการณ์สิทธิ LGBTQ+ ทั่วโลก เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนประเทศที่ถดถอยสิทธิ LGBTQ+ มีมากกว่าประเทศที่ก้าวหน้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
“ดิฉันคิดว่าการถดถอยและการโจมตีครั้งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะการโจมตีที่เราเห็นรุนแรงกว่าเดิม แต่ความแตกต่างคือในอดีตเราไม่มีอะไรจะเสียมากนัก”
จูเลีย แอร์ท
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การถดถอยครั้งนี้แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
“ตอนนี้พวกเรามีอะไรมากมายที่จะต้องเสีย”
จูเลีย แอร์ท

จูเลีย ยังเล่าภาพรวมไทม์ไลน์สถานการณ์ด้านสิทธิ LGBTQ+ ของโลกโดยคร่าว ๆ โดยเห็นว่า โลกมีกระแสการยกเลิกการลงโทษทางอาญาสำหรับกลุ่มคนรักเพศเดียวกันในช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 รวมถึงกระแสของการสมรสเท่าเทียม หรือการจดทะเบียนคู่ชีวิตที่เปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกัน
หลังจากนั้นก็มีความก้าวหน้าอย่างมากในการรับรองเพศสภาพทางกฎหมาย ผู้คนเริ่มสามารถเปลี่ยนชื่อและเพศในหนังสือเดินทางได้ในบางประเทศ โดยอาศัยหลักการ (กำหนดด้วยตนเอง) self-determination และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
“ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มออกกฎหมายที่ปกป้องผู้มีภาวะเพศกำกวมโดยเฉพาะเด็กและทารก intersex จากการถูกแทรกแซงทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็นและทำให้เป็นปกติ ดังนั้นจึงมีเส้นทางของความก้าวหน้าทั้งหมดนี้ แต่มันถูกตัดทอนลงอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา”
จูเลีย แอร์ท แสดงความกังวล
อิทธิพลจากตะวันตก ส่งผลกระทบทั่วโลก
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการถดถอยสิทธิ LGBTQ+ ทั่วโลกคือการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี ทรัมป์
“การเปลี่ยนแปลง(ทางการเมือง)ไปทางขวาในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและอเมริกาเหนือ มากระทบกับประเทศแถบซีกโลกใต้ รวมถึงการไหลเวียนของเงินทุนที่เพิ่มไปยังฝ่ายค้าน และทำให้กลุ่มต่อต้าน LGBTIQ+ กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น”
จูเลีย แอร์ท
รีน่า จันทร์อำนวยสุข Implementation Science Program Manager จาก IHRI เตือนว่า ณ ตอนนี้ อาจจะไม่ใช่จุดที่ต่ำที่สุดในเรื่องสิทธิของ LGBT ภายใต้ยุคทรัมป์ นอกจากเขาจะโดนถอดถอน เพราะประเทศอื่น ๆ เริ่มได้รับผลกระทบกันเยอะมาก
“คนติดเชื้อเยอะขึ้น คนตายเยอะขึ้น แต่ The worst has yet to come (ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดยังไม่มาถึง)”
รีน่า จันทร์อำนวยสุข
ผลกระทบยังรวมถึงการตัดลดเงินทุนสนับสนุนงานด้าน LGBTIQ+ Health และ DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) ในหลายประเทศ เห็นได้ชัดจากการหยุดให้เงินสนับสนุนโครงการเพื่อสิทธิ LGBTQ+ รอบโลกอย่าง USAID ส่งผลให้หลายองค์กรอย่างเช่น Tangerine Clinic คลินิกสุขภาพชุมชนสำหรับคนข้ามเพศแห่งแรกในประเทศไทย ที่รีน่าก่อตั้งขึ้นไม่ได้รับทุนสนับสนุนอีกต่อไป

การขยับของกฎหมาย นโยบาย หรือเงินทุนสำหรับงานความเท่าเทียม ส่งผลให้เกิดการแสดงออกทางลบต่อกลุ่ม LGBTQ+ และทำให้กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยมากขึ้น
“การแสดงออกหรือคำพูดแย่ ๆ กลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับ หากขนาดสหรัฐฯ หรืออังกฤษ และอีกหลายประเทศยังมีนโยบายออกมาแบบนี้”
รีน่า จันทร์อำนวยสุข
ในด้านของยุโรป ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านสิทธิ LGBTQ+ ทั่วโลกก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พระชาย วรธัมโม ผู้เขียนหนังสือ “แกะ เปลือก เพศ พุทธ” อธิบายว่า อเมริกาซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านความก้าวหน้าหลายเรื่อง โดยเฉพาะสิทธิคนข้ามเพศ กำลังกลับทิศทางภายใต้ทรัมป์ รวมถึงการจำกัดสิทธิการทำแท้ง ก็ส่งผลกระทบต่อประเทศในทวีปยุโรปด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือคำตัดสินของศาลอังกฤษที่ระบุว่า เพศสภาพหญิงต้องมีมดลูก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้หญิงข้ามเพศ ผลกระทบดังกล่าวทำให้คนข้ามเพศในยุโรปบางรายพิจารณาย้ายมาทำงานในเอเชีย
พระชาย เล่าถึงเพื่อนชาวเบลเยี่ยมที่นิยามตนเองเป็น ทรานส์แมน ประเด็นการตัดสินของศาลอังกฤษ จึงมีผลกระทบกับเขา เขาให้ความเห็นว่า ถ้ามีนโยบายอะไรที่กดดันเขามาก ๆ เขาอาจจะต้องย้ายประเทศมาทำงานในแถบเอเชียดีกว่า

ความท้าทายการเคลื่อนไหว LGBTQ+ รอบโลก
จูเลีย ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับ 2 วาทกรรมหลักที่มีความท้าทาย
วาทกรรมแรกคือ “วาทกรรมต่อต้านคนข้ามเพศ” ที่แพร่หลายในตะวันตก ซึ่งมักตั้งคำถาม เช่น “ผู้หญิงข้ามเพศเป็นผู้หญิงหรือไม่ ?” วาทกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่อ้างว่าต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี แต่กลับใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิของคนข้ามเพศ โดยนำเหตุผลด้านความปลอดภัยมาอ้างเป็นหลัก
วาทกรรมที่สองคือ “วาทกรรมการนำเข้าจากตะวันตก” ที่แพร่หลายในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งอ้างว่าสิทธิ LGBTQ+ เป็นแนวคิดที่ถูกนำเข้าจากประเทศตะวันตก ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองในท้องถิ่น
อีกปัจจัยที่ได้รับการพูดถึงและจับตามอง คือ ปัจจัยด้านศาสนาและการยอมรับ หลังมีข่าวเกี่ยวกับพระสันตะปาปาคนใหม่ “ลีโอที่ 14” โป๊ปที่ยังไม่แสดงจุดยืนต่อกลุ่มเพศหลากหลาย และมีข่าวปลอม ปั่นกระแสการไม่ยอมรับเพศหลากหลายของพระสันตะปาปาไปแล้ว หลังขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน
พระชาย แสดงทัศนคติต่อประเด็นผู้โป๊ปและจุดยืนต่อเรื่องเพศหลากหลายว่า ตัวไบเบิลถูกตีความให้มีความรังเกียจกลุ่มผู้รักเพศเดียวกันอยู่แล้ว เพียงแต่พระสันตะปาปาท่านที่แล้วพยายามที่จะเปิดกว้างในประเด็นเรื่องเพศ โดยไม่ให้กระทบกับคัมภีร์
“อันนี้เป็นทัศนคติของฉันนะ การไปพูดแบบเดิมตามธรรมเนียมนั้นดีกว่า ปลอดภัยกว่า เขาก็ต้องพูดแบบรักษาแฟนคลับเขาเองก่อน รักษาพวกอนุรักษ์นิยมไว้ เพราะถ้าเกิดพูดอะไรที่ก้าวหน้าไปมาก ๆ ก็อาจมีคนที่ยังไม่ยอมรับ”
จูเลีย แอร์ท
พระชาย ยังยกตัวอย่างวิธีการพูดเรื่อง LGBT ของ องค์ดาไลลามะ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ที่มีความอิหลักอิเหลื่อ พูดเพื่อให้ทั้งกลุ่มคนที่ก้าวหน้าและอนุรักษ์นิยม
“ท่านต้องพูดอะไรที่เอาใจ อย่างการบวชภิกษุณี ตอนสมัยที่มีแต่การบวชสามเณรี ดาไลลามะอยากสนับสนุน แต่ถ้าพูดไป ภาพผู้ชายภิกษุก็จะไม่ชอบท่าน ท่านก็เลยพูดเชิงว่า จะไปบวชก็ได้ ไม่มีปัญหา”
พระชาย วรธัมโม
อย่างไรก็ตาม พระชาย มองว่า ภาพรวมของเครื่องมือที่เรียกว่า ศาสนา ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่เพิ่มหรือลดทอนสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลายในประเทศต่าง ๆ ได้ เครื่องมือที่สำคัญจริง ๆ ก็คือ ประชาธิปไตย
“คนเข้าโบสต์น้อยลง คนแสดงตัวตนในความไม่นับถือศาสนาเยอะมากขึ้น เพียงแต่ว่าประชาธิปไตยของเขานำหน้ามากกว่า เป็นผลให้ในยุโรป สหรัฐฯ ช่วงหนึ่งมีสมรสเท่าเทียมเกิดขึ้น”
“ศาสนาในประเทศต่าง ๆ มันไม่ได้มีอิทธิพลแล้ว เหลือประเทศไทยที่ยังมีอิทธิพลมากกว่า แต่ว่ายกตัวอย่างยุโรป มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว คนจำนวนมากไม่เข้าโบสต์แล้ว”
พระชาย วรธัมโม
ไทย : ข้อยกเว้นสำคัญในสถานการณ์โลก
พูดถึงประเด็นของกฎหมายสมรสเท่าเทียม จริง ๆ แล้วไทยก็ไม่ได้กำลังสวนกระแสโลก แต่กำลังก้าวไปเป็นหนึ่งในเกือบร้อยประเทศที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมหรือ พ.ร.บ. คู่ชีวิต และข้อมูลจาก ILGA World ก็ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มของประเทศที่บังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมก็มีการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 1990 จึงไม่ได้แปลว่า การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยเป็นการสวนกระแสโลกแต่อย่างใด

จูเลีย บอว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นสิทธิขั้นแรกของกลุ่มเพศหลากหลาย แม้จะไม่ครอบคลุมทุกประเด็น และไม่ได้นำมาสู่ความเท่าเทียมที่รอบด้านอย่างแท้จริง อย่างเรื่องของกฎหมายเพื่อกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) ที่ก็ต้องได้รับคำนำหน้านามที่ตรงกับเพศสภาพของตน
แต่ด้วยปัจจัยสถานการณ์ในปัจจุบัน ท่ามกลางกระแสถดถอยทั่วโลก ประเทศไทยกลับโดดเด่นในฐานะ ข้อยกเว้น ที่สำคัญ กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2025 ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญระดับโลก
“กฎหมายสมรสเท่าเทียมถือว่าก้าวหน้ามาก มันสลับกัน ในขณะที่เอเชียก้าวหน้า ยุโรปสวิตช์กลับ”
พระชาย วรธัมโม มองการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
จูเลีย ก็ยังให้ความเห็นว่า ประเทศไทยนั้นพิเศษ จึงหวังว่าคุณ และประเทศไทยจะเป็นข้อยกเว้นได้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จของไทยในด้านสิทธิ LGBTIQ+ มีปัจจัยสำคัญหลายประการ :
1. การสนับสนุนจากรัฐบาล : รีน่า อธิบายว่า รัฐบาลปัจจุบันมียุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งในการผลักดันสิทธิ LGBTIQ+ ไม่เพียงแต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ยังรวมถึงการดูแล Gender-affirming care อย่างต่อเนื่อง
“รัฐบาลยุคนี้ยังไม่สั่นคลอนต่อจุดยืนของเขา เขายังทำงานเรื่องการพัฒนาสิทธิให้กลุ่ม LGBT ต่อ เช่นเรื่อง gender-affirming care (การดูแลเพื่อยืนยันเพศสภาพ) ยังคงทำงานต่อ”
รีน่า จันทร์อำนวยสุข
2. บทบาทของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธในไทยมีบทบาทที่แตกต่างจากศาสนาคริสต์ในประเทศตะวันตก
“พุทธไม่มีปฏิกิริยาอะไร ด้วยโครงสร้างของพุทธ เราไม่เข้าไปมีปัญหากับเรื่องในมุ้งของชาวบ้านอยู่แล้ว”
พระชาย วรธัมโม
ขณะที่ศาสนาคริสต์ในประเทศตะวันตกเริ่มเสื่อมถอยจากศรัทธา คนเข้าโบสถ์น้อยลง แต่ผู้นำทางศาสนายังคงรักษาแนวคิดอนุรักษ์นิยมเพื่อรักษาฐานเสียงที่เหลืออยู่

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในด้านกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ยังมีความท้าทายสำคัญที่รออยู่ข้างหน้า :
1. พระราชบัญญัติรับรองเพศสภาพ กฎหมายที่จะช่วยให้คนข้ามเพศสามารถเปลี่ยนแปลงเอกสารทางราชการให้สอดคล้องกับเพศสภาพได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กฎหมายสมรสเท่าเทียม จูเลีย เล่าถึง กรณีภาพรวมในโลกใบนี้ ที่ส่วนใหญ่แล้ว การดำเนินงานต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลาย มักเป็นการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม พร้อม ๆ กับ คำนำหน้านาม แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพียงอย่างเดียวที่ถูกผลักดันจนสำเร็จ และเรื่องของคำนำหน้านามก็จะใช้เวลายาวนานมากต่อไป
“ในหลายประเทศมาก ๆ หลังจากที่ชนะการสมรสเท่าเทียมแล้ว การรับรองเพศสภาพทางกฎหมายก็ถูกลดความสำคัญลง ทั้งในมิติของประชาชนและพรรคการเมือง และบ่อยครั้งที่ต้องใช้เวลาอีกทศวรรษกว่าประเทศนั้นจะก้าวไปสู่การรับรองเพศสภาพทางกฎหมาย”
“ดิฉันหวังว่าประเทศไทยจะเป็นข้อยกเว้นจากลูปนี้ อย่างการผ่านการสมรสเท่าเทียมที่ก็กล้าหาญในเวลานี้ คือคุณจะมีกำลังใจมากพอ ทั้งในขบวนการเคลื่อนไหว และในแง่ของความเต็มใจทางการเมือง ที่จะทำงานและผ่านกฎหมายการรับรองเพศสภาพทางกฎหมายด้วย”
จูเลีย แอร์ท
2. การศึกษาเรื่องเพศ : พระชาย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้เรื่อง “เพศสี่มิติ” (เพศกำหนด สำนึกทางเพศ เพศสภาพ เพศวิถี) อย่างต่อเนื่อง และการไม่ลืมประเด็นคนข้ามเพศและ intersex ที่เริ่มเปิดเผยตัวตนมากขึ้น
และยกตัวอย่าง อย่างในวงการพระเอง ก็ต้องทำความเข้าใจและพร้อมปรับตัวไปกับประเด็นเรื่องเพศ หากมีชายข้ามเพศ (ทรานส์แมน) มาบวชเป็นพระ จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป
3. ผลกระทบจากการลดทุนต่างประเทศ ภาคเอกชนและสถานทูตอาจลดหรืองดงบประมาณสำหรับกิจกรรมไพรด์และงานด้าน LGBTIQ+ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงานในระยะยาว
รีน่า เล่าให้ฟังถึงความน่ากังวลในอนาคต ที่กระทบน่าจะเรื่องของเอกชน งบฯ จัดงานไพรด์มีเงื่อนไขลดลงจากเอกชนหรือเปล่า แต่งบฯ จากสถานฑูต ลดน้อยลงแน่นอน หรือไม่มีเลยก็ว่าได้
แนวโน้มในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับภูมิภาคเอเชียโดยรวม ผู้เชี่ยวชาญ มองว่า การขับเคลื่อนสิทธิ LGBTIQ+ ในประเทศอื่น ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ประเทศอาเซียนอื่น ๆ หรือญี่ปุ่น อาจไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่านี้ และบางประเทศอาจถอยหลัง โดยเฉพาะประเทศที่มีอิทธิพลของศาสนา
รีน่า ย้ำถึงประสบการณ์การทำงานกับประเทศรอบข้างในเอเชียอย่างฟิลิปปินส์หรือญี่ปุ่น มองว่า การผลักดันสิทธิ LGBT น่าจะไม่ได้รุดหน้าไปมากกว่านี้ บางประเทศอาจจะถอยหลังลงคลอง ยิ่งมีเรื่องของศาสนาเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ไทยน่าจะสามารถยืนหยัดและดำเนินนโยบายสนับสนุนสิทธิ LGBTIQ+ ต่อไปได้ เนื่องจากมีรากฐานทางสังคมและการเมืองที่แข็งแกร่ง

อนาคตของไทย ในฐานะต้นแบบความเท่าเทียม ?
ในยุคที่สิทธิ LGBTIQ+ ทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้ายังเป็นไปได้ แม้จะต้องเดินย้อนกระแสโลก
ความสำเร็จของไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากการลอกเลียนแบบประเทศตะวันตก แต่เป็นผลจากการผสมผสานระหว่างการขับเคลื่อนจากภาคประชาชน การสนับสนุนจากรัฐบาล และลักษณะเฉพาะของสังคมไทยที่มีความยอมรับและเปิดกว้างในประเด็นความหลากหลายทางเพศ
อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้นำในภูมิภาคมาพร้อมกับความกดดันสำหรับก้าวถัดไปในด้านนโยบาย ไทยจำเป็นต้องสานต่อนโยบายสนับสนุนสิทธิ LGBTIQ+ ให้ครอบคลุมและยั่งยืนหรือไม่ โดยเฉพาะการผลักดันพระราชบัญญัติรับรองเพศสภาพ ตามข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมต่อไป ให้เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ไทยเป็นตัวอย่างในการสานต่อการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ท่ามกลางสภาพการเมืองรอบโลกที่ไม่เป็นใจต่อกลุ่มเพศหลากหลายเท่าไรนัก
ในขณะที่หลายประเทศกำลังเดินถอยหลัง ไทยได้เลือกที่จะเดินหน้าต่อไป การเดินทางนี้อาจจะไม่ง่าย แต่ก็เป็นการเดินทางที่มีค่าและมีความหมายต่อการสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริง
“ดิฉันไม่คิดว่าการสมรสเท่าเทียมคือจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง แน่นอนว่ามันสำคัญ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับในระดับสูง แต่ไม่ว่าในทางใด มันก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แม้แต่จากมุมมองของเรื่องรสนิยมทางเพศ และแน่นอนว่าจากมุมมองของคนข้ามเพศก็ไม่ใช่เลย”
จูเลีย แอร์ท
“สนับสนุนและเป็นกำลังใจให้รัฐบาลไทยต่อไป การให้สิทธิประชาชนที่เท่ากัน เป็นนโยบายและยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ที่สักวันนึงจะออกดอกออกผล”
รีน่า จันทร์อำนวยสุข
“แม้แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ไม่เคยคิดว่าจะได้ เหมือนพลิกฝ่ามือ เหมือนฝันไปหรือเปล่า เราคาดหวังว่าประเทศไทยน่าจะได้รับกฎหมายรับรองเพศสภาพเร็ว ๆ นี้ มันน่าลุ้น แม้น่าจะต้องใช้เวลา แต่เราเชื่อเช่นนั้น”
พระชาย วรธัมโม ทิ้งท้าย