Pride Month 2025 : ส่องสถานการณ์-สิทธิ LGBTQIAN+ ในไทย – ทั่วโลก

เริ่มต้น Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในปีแรกนับตั้งแต่ประเทศไทยบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม แม้เป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของสิทธิสำหรับ LGBTQIAN+ ของบ้านเรา แต่ถ้ามองให้กว้างขึ้น น่าจะพอย้ำเตือนได้ว่า สถานการณ์ด้านสิทธิของพวกเขาและเธอเหล่านี้ ยังเดินอยู่บนความเสี่ยง ซึ่งเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก

โดยเฉพาะในปีนี้ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอีกครั้ง ก็มาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่า กำลังทำให้สิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย (โดยเฉพาะกลุ่มคนข้ามเพศ) ในสหรัฐอเมริกาถอยหลัง และยังถูกมองว่า อาจทำให้แนวโน้มสิทธิของ LGBTQIAN+ ทั่วโลกถอยหลังตามด้วยหรือไม่ ?

ในวาระและช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง The Active พาย้อนมองอีกมุมเพื่อชวนให้สังคมเข้าใจอีกด้านเรื่องสิทธิ ที่ยังเป็นข้อจำกัด ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผ่านหลาย ๆ เหตุการณ์สำคัญนับตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่ ปี 2568 จนถึงเดือนไพรด์ทั้งในไทย และ ทั่วโลก จากนี้ยังมีอะไร ? ที่ต้องจับตา เพื่อหาทางไปต่อ…

ส่องสถานการณ์สิทธิ LGBTQIAN+ ไทย – โลก

หลายเหตุการณ์ถือเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความหวัง และการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ตรงกันข้ามก็มีหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนให้ว่ากลุ่มคนเพศหลากหลาย ยังต้องเผชิญหน้ากับ อคติ ความไม่เข้าใจ ความรุนแรง และการลิดรอนสิทธิ

ทรัมป์ ลงนามรับรองเพศสภาพ “มีเพียง 2 เพศ เปลี่ยนไม่ได้”

20 ม.ค. 68 โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร กำหนดให้รัฐบาลกลางรับรองเพศสภาพให้ “มีเพียงสองเพศเท่านั้น คือเพศชายและหญิง” และสั่งให้มีการเปลี่ยนไปใช้คำว่า “Sex” (เพศ) แทนคำว่า “Gender” (อัตลักษณ์ทางเพศ) โดยกำหนดให้ “เพศสภาพเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามหลักชีววิทยา”

นอกจากนี้ยังยกเลิกการใช้ตัวเลือกเพศ “X” ที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อน เคยกำหนด ทั้งในเอกสารราชการและหน่วยงานรัฐ ถือเป็นการยกเลิกการสนับสนุนสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลายที่รัฐบาลก่อนหน้าดำเนินนโยบายมา

นโยบายดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนข้ามเพศในหลายมิติ เช่น การออกหนังสือเดินทาง-วีซา การบริหารจัดการพื้นที่ที่แยกตามเพศ เช่น เรือนจำ ศูนย์พักพิงผู้อพยพ

‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ มีผลบังคับใช้ในไทย เป็นวันแรก

23 ม.ค. 68 เป็นวันประวัติศาสตร์ของเมืองไทยอีกวัน ที่ได้มี กฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีผลบังคับใช้ หลังผ่านไป 120 วันนับตั้งแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนกันยายน 2567 เปิดทางให้คู่รักเพศหลากหลายสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียม โดย กรมการปกครอง เปิดเผยว่า ในวันแรกมีคู่รักเพศหลากหลายจดทะเบียนสมรสรวม 1,754 คู่ทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นคู่สมรสชาย-ชาย จำนวน 579 คู่ และคู่สมรสหญิง-หญิง 1,175 คู่

สปสช. จัดสรรงบฯ ให้บริการฮอร์โมนแก่คนข้ามเพศ

25 ม.ค. 68 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อนุมัติงบประมาณ 145.63 ล้านบาท โดยเน้นการสนับสนุนยาฮอร์โมนบำบัดสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ ซึ่งมีเป้าหมายกว่า 200,000 รายทั่วประเทศ ถือเป็นหนึ่งในการสนับสนุนความเท่าเทียมด้านสุขภาพ และลดความเหลื่อมล้ำด้านการบริการสุขภาพของคนข้ามเพศ เนื่องจากก่อนหน้านี้ คนข้ามเพศต้องจ่ายค่ายาฮอร์โมนเอง

กสม. ชี้ สายการบินปฏิเสธออกบัตรโดยสารให้ผู้โดยสารข้ามเพศ เป็นการละเมิดสิทธิฯ

14 ก.พ. 68 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้แจง กรณีรับเรื่องร้องเรียนการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศ โดยเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 67 สายการบินต่างชาติแห่งหนึ่ง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปฏิเสธการออกบัตรโดยสารผ่านขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) ให้ชายข้ามเพศ โดยเจ้าหน้าของสายการบินแจ้งว่าคำนำหน้าชื่อ “นางสาว” ในหนังสือเดินทางของผู้เสียหายไม่ตรงกับรูปลักษณ์ทางเพศ และให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคงของสายการบิน และแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่อนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเมือง

กสม. ตรวจสอบแล้ว มองว่า กรณีดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีข้อเสนอให้สายการบินปรับปรุงขั้นตอนในการเช็กอินและการออกบัตรโดยสารผ่านขึ้นเครื่อง ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย รวมทั้งให้สายการบินดำเนินการชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และมีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และนำผลที่ได้ไปกำหนดแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้อีกในอนาคต

‘มูห์ซิน เฮนดริกส์’ อิหม่ามคนแรกของโลกที่เปิดเผยว่าเป็นเกย์ ถูกยิงเสียชีวิตในแอฟริกาใต้

15 ก.พ. 68 มูห์ซิน เฮนดริกส์ อิหม่ามคนแรกที่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ในปี 2539 และเป็นผู้ดูแลมัสยิดสำหรับชาวมุสลิมที่เป็นเหย์และที่ถูกกีดกันในเมืองเคปทาวน์ ถูกยิงเสียชีวิตใกล้เมืองเกเบอร์ฮา แอฟริกาใต้

ด้านองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มองว่า อาจเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime)

ศาลสูงสุดอังกฤษจำกัดนิยาม ‘ผู้หญิง’ ตามเพศโดยกำเนิด

16 เม.ย. 68 ศาลสูงสุดอังกฤษ ตัดสินคำจัดกัดความของ ผู้หญิง ตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียม ว่าหมายถึง “บุคคลที่เป็นเพศหญิงโดยกำเนิดเท่านั้น” และคำว่า เพศ ในพระราชบัญญัตินี้ จะหมายถึง เพศทางชีวภาพหรือเพศที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเท่านั้น โดยผู้หญิงข้ามเพศที่มีใบรับรองการยอมรับเพศสภาพ (Gender Recognition Certificate หรือ GRC) จะไม่ถือเป็นผู้หญิงตามกฎหมาย

หลายฝ่ายมองว่า อังกฤษกำลังเดินถอยหลังตามสหรัฐฯ และอาจทำให้ผู้หญิงข้ามเพศถูกกีดกันและถูกเลือกปฏิบัติมากขึ้น

โปแลนด์ ยกเลิก “เขตปลอด LGBT”

24 เม.ย. 68 โปแลนด์ประกาศยกเลิกเขตปลอด LGBT (LGBT-free zone) อย่างเป็นทางการ จากการกดดันของสหภาพยุโรป (EU) นับตั้งแต่จัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 2562 แม้จะเป็นสัญญาณในทางบวก แต่สิทธิของ LGBTQIAN+ ในโปแลนด์หลายเรื่องยังไม่ได้มีการรับรองอย่างเต็มรูปแบบ เช่น สมรสเท่าเทียม

‘มีนา’ หญิงข้ามเพศถูกฆาตกรรมที่พัทยา จากความเกลียดชังทางเพศ

26 เม.ย. 68 มีนา หญิงข้ามเพศ ถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายที่พัทยา จากความเกลียดชังทางเพศ (Hate Crime) สะท้อนความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่คนข้ามเพศยังต้องเผชิญในสังคม

องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนเพศหลากหลายชี้ รัฐควรมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยจากความเกลียดชังในประเทศไทย

กรมสวัสดิการฯ ชวนนายจ้างเพิ่มสิทธิ ‘เมนส์มา ลาได้’ และ สวัสดิการผ้าอนามัย

21 พ.ค. 68 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ส่งหนังสือเร่งด่วนมอบหมายให้สํานักงานสวัสดิการ และคุ้มครองแรงานจังหวัด ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนนายจ้าง กำหนดให้การลาหยุดเนื่องจากวันที่มีประจําเดือนเป็นวันลาที่ได้รับค่าจ้าง และกําหนดให้นายจ้างจัดให้มีผ้าอนามัยเป็นสวัสดิการที่ลูกจ้างหญิงทุกคนเข้าถึงได้ฟรี อย่างไรก็ตาม หนังสือดังกล่าวเป็นการเชิญชวน ไม่ได้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแต่อย่างใด

พ.ร.บ.รับรองเพศสภาพ ไปต่อ!

พ.ค. 68 กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจยังไม่ครอบคลุมสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลายได้เพียงพอ แม้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว หนึ่งในนั้นคือยังขาด พ.ร.บ.รับรองเพศ โดยในปัจจุบันมีทั้งหมด 4 ฉบับ จากทั้งภาครัฐ พรรคการเมือง และประชาชน ได้แก่

แม้มีการผลักดันในเชิงกฎหมาย แต่ทัศนคติของคนในสังคมบางส่วนก็ยังไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว จากรายงาน “การศึกษาทัศนคติในเชิงลบของคนไทย เกี่ยวกับสิทธิของคนข้ามเพศและคนที่มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบัน” โดยศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เปิดเผยผลการสำรวจทัศนคติในโลกออนไลน์ (ผ่านการทำ Social Listening) ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. – 17 พ.ค. 68 วันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมยังคับใช้ ถึงวันสากลยุติความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ และคนรักสองเพศ (IDAHOBIT) พบว่า สังคมไทย ยังมีอคติและทัศนคติเชิงลบต่อประเด็นสิทธิทางกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อตามเพศสภาพ

หลายส่วนมองว่า LGBTQIAN+ เรียกร้องมากขึ้น เช่น “ได้คืบ จะเอาศอก ได้นู่นจะเอานี่ ได้นี่จะเอานั่น” หรือ “สมรสเท่าเทียมก็ออกมาแล้ว แต่ยังเรียกร้องจะขอเพิ่มอีก” บางส่วนแสดงความเห็นว่า เสรีภาพในการเลือกคำนำหน้านามของคนข้ามเพศจะสร้างความสับสน เพิ่มช่องทางให้มิจฉาชีพ นำไปสู่การหลอกลวง อาชญากรรม ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นอคติจากข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation)

ในขณะที่ทัศนคติเชิงบวกเป็นไปในทางเข้าใจสิทธิในการกำหนดตัวตนของตัวเอง อยากให้คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับ เช่น “สิทธิของบุคคลในการเลือกเพศไม่ได้มาจากคนอื่น แม้กระทั่งมาจากพ่อแม่หรือแพทย์” รวมถึงกฎหมายนี้จะช่วยลดปัญหาได้ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ลดปัญหาความเครียดและซึมเศร้า ลดปัญหาตอนเดินทางไปต่างประเทศ (จากกรณีชายข้ามเพศถูกปฏิเสธออกบัตรโดยสารที่กล่าวไปข้างต้น)

อ่านเพิ่มเติม :

อัปเดตสิทธิ LGBTQIAN+ ไทย :
แม้สมรสเท่าเทียมก้าวหน้า แต่บริจาคเลือดยังตามหลัง

นอกเหนือจากสถานการณ์สำคัญ ๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของ สิทธิของคนกลุ่มเพศหลากหลาย อันเป็นหลักประกันว่าคนเหล่านี้จะมีสิทธิรับรองและเท่าเทียมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ต่างจากชาย-หญิงหรือกลุ่มคนรักต่างเพศในสังคม

อ้างอิงจาก Equaldex ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลเรื่องความเท่าเทียม สิทธิ และเสรีภาพของ LGBTQIAN+ ทั่วโลก และมีข้อมูลของประเทศไทยเช่นเดียวกัน ในด้านดี ประเทศไทยมีการรับรองสิทธิของ LGBTQIAN+ ในหลาย ๆ ด้าน เช่น

  • กิจกรรมทางเพศของคนเพศเดียวกัน ถูกกฎหมาย

  • ไม่ได้เซ็นเซอร์เนื้อหาเพศหลากหลาย

  • อายุความยินยอม (age of consent) ของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน เท่ากันกับกลุ่มคนรักต่างเพศ (ที่ 15 ปี)

  • การดูแลเพื่อยืนยันเพศสภาพ ถูกกฎหมาย

  • กลุ่มเพศหลากหลายสามารถรับราชการทหารอย่างเปิดเผย

  • การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมของคนเพศเดียวกัน ถูกกฎหมาย

  • การสมรสของคนเพศเดียวกัน ถูกกฎหมาย

โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสมรสเท่าเทียม ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย เป็นประเทศที่ 38 ของโลก และเป็นประเทศล่าสุดที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในขณะที่อีกกว่า 110 ประเทศทั่วโลกไม่อนุญาตการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน และอีก 48 ประเทศทั่วโลกที่แต่งงานได้ภายใต้เงื่อนไข-ข้อจำกัด

อย่างไรก็ตาม ในบางประเด็นยังถือว่าประเทศไทยยังไม่ได้รับรองสิทธิแก่กลุ่ม LGBTQIAN+ โดยเฉพาะกรณีการห้ามกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM : Men who have Sex with Men) บริจาคเลือด ที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกกว่า 77 ประเทศสามารถทำได้ (บางประเทศก็สามารถบริจาคได้ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ) มี 2 ประเทศที่มีสามารถทำได้แต่ยังมีข้อจำกัด และอีก 61 ประเทศที่ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ (ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 61 ประเทศนี้)

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย ในข้อที่ 10.1 ระบุว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายสูงกว่าประชากรทั่วโลก และโอกาสที่จะมีผู้ที่อยู่ในระยะที่เพิ่งเริ่มติดเชื้อในร่างกายยังมีเชื้อจำนวนน้อย ไม่สามารถตรวจพบร่องรอยการติดเชื้อได้ด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการแต่สามารถถ่ายทอดไปยังผู้รับโลหิตได้ จึงไม่รับบริจาคโลหิตอย่างถาวร

โดยมีสมาชิกกลุ่มเพศหลากหลายคนหนึ่ง เคยให้สัมภาษณ์กับ Manushaya Foundation ว่า “ตนให้ข้อมูลกับแพทย์ในขั้นตอนการคัดกรองก่อนบริจาคว่า ตนได้มีการป้องกันในระหว่างมีเพศ และไม่ได้มีเพศสัมพันธ์มานานมากกว่า 4 เดือนแล้ว ก็ยังถูกปฏิเสธการบริจาคอยู่ดี แพทย์แจ้งว่าหากต้องการบริจาคเลือดจะต้องเข้ากระบวนการตรวจเลือกและมีใบรับรองผลการตรวจเลือด”

ข้อกำหนดดังกล่าวถูกตั้งคำถาม ว่า เลือกปฏิบัติหรือไม่ ? เนื่องจากเพศอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีแต่ตรวจไม่พบร่องรอยเพราะติดเชื้อเล็กน้อยก็มีและสามารถบริจาคได้เนื่องจากไม่ได้กีดกัน หรือกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่ไม่ได้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (เช่น ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย) ก็มีเช่นกัน การที่ห้ามกลุ่มคนเหล่านี้และไม่อนุญาตให้บริจาคเลือดเลยเป็นการเหมารวมหรือไม่

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในปี 2566 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยเสนอให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปรับปรุงใบสมัครผู้รับบริจาคโลหิตและคู่มือการคัดเลือกผู้บริจาคโลหิต โดยเน้นไปที่การสอบถามลักษณะพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยไม่ตีตราและจำกัดสิทธิผู้บริจาคที่มีความหลากหลายทางเพศ

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 เม.ย. 68 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โพสต์ข้อความ สรุปผลการวิจัยความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อทางโลหิตบริจาคในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย โดยจากผลการวิจัยพบว่า ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนเพียงพอเพื่อมาพัฒนาเกณฑ์การคัดเลือกให้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เป็นผู้บริจาคโลหิตได้ เนื่องจากมีอาสาสมัครเข้าร่วมการวิจัยน้อยกว่าเป้าหมาย นั่นหมายความว่า ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายบริจาคเลือดได้

นอกจากนี้ ยังมีสิทธิอีกหลายประการที่ประเทศไทยยังไม่รับรอง เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกอีกกว่า 100 ประเทศ เช่น

  • ยังไม่สั่งห้ามการบำบัดเพื่อเปลี่ยนรสนิยมทางเพศ (Conversion therapy)

  • ยังไม่รับรองสิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมาย

  • ยังไม่รับรองทางกฎหมายของกลุ่มนอนไบนารี (Non-Binary)

  • ยังไม่สั่งห้ามผ่าตัดทารกที่มีภาวะเพศกำกวม (อินเตอร์เซ็กซ์ หรือ Intersex) หรือการห้ามบังคับเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเพื่อ
    แทรกแซงคุณลักษณะทางเพศของบุคคลอินเตอร์เซ็กซ์ จนกว่าบุคคลนั้นจะให้ความยินยอมได้

โดยใน 3 ประเด็นท้าย (การเปลี่ยนเพศ, รับรองกลุ่มนอนไบนารี และห้ามผ่าตัดทารกอินเตอร์เซ็กซ์) ถูกระบุอยู่ใน พ.ร.บ.รับรองเพศสภาพทั้ง 4 ฉบับด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป โดยหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการรับรองสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อไป

การรับรองสิทธิของ LGBTQIAN+ อีกหลายเรื่องยังต้องมีการผลักดันและไปต่อ อย่างไรก็ตาม การรับรองสิทธิไม่ได้หมายความว่าคนในสังคมจะยอมรับหรือปราศจากอคติต่อกลุ่มคนเพศหลากหลาย หลายเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า แม้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่บังคับใช้แล้ว สังคมไทย (และโลก) ก็ยังขาดความเข้าใจ มีอคติ และใช้ความรุนแรง ซึ่งรวมถึงการฆาตกรรมอันเนื่องมาจากความเกลียดชังทางเพศ

ในหลายกรณีก็สะท้อนให้เห็นว่า สิทธิของกลุ่มเพศหลากหลายที่เคยมีการรับรองมาก่อนหน้า ก็สามารถถูกลิดรอน และริบคืนได้ (อย่างที่เห็นในกรณีของคนข้ามเพศในสหรัฐอเมริกา) ดังนั้น นอกเหนือจากการรับรองสิทธิที่พึ่งมีแล้ว การสร้างความเข้าใจ และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางสังคมเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศให้คนในสังคมไปพร้อม ๆ กัน ก็เป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการออกมาเรียกร้องเพื่อสิทธิของกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะหากสิทธิของคนบางกลุ่มถูกละเมิด ก็อาจเปิดช่องทางการเลือกปฏิบัติให้กับสิทธิอื่น ๆ ที่เคยรับรองได้เช่นเดียวกัน

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่