ใครให้สิทธิเลือกคำนำหน้านามแบบฉ่ามมม!
เมื่อพูดถึงชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIAN+) หลายคนอาจจะนึกถึง เกย์ และ เลสเบี้ยน ก่อนเพื่อนร่วมชุมชน แต่ความจริง ใต้ร่มธงรุ้งหลากสีที่โบกสะบัด ยังมีอีกหลายเพศในนั้น ที่ยังต้องการการยอมรับทางสังคมและกฎหมาย เช่น
- บุคคลข้ามเพศ (Transgender)
คือ บุคคลที่ได้รับการข้ามหรือแปลงเพศตามเจตจำนงของเจ้าตัวเอง หรือมีความรู้สึกพึงพอใจกับ อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender identity) ที่ตรงข้ามกับเพศกำเนิดของตนเอง ซึ่งเเบ่งออกเป็น ผู้หญิงข้ามเพศ (transwoman) และ ผู้ชายข้ามเพศ (transman)
- คนที่มีลักษณะเพศทางชีววิทยาไม่ชัดเจน, คนที่มีเพศทางชีววิทยาที่หลากหลาย (Intersex)
คือ คนที่มีลักษณะเพศ ที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย อาจมีลักษณะเข้าข่ายทั้งหญิงและชาย หรือไม่เข้าข่ายทั้งหญิงหรือชาย ปรากฏได้ทั้งรูปแบบเพศสรีระที่มองเห็นได้ด้วยตา เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ไปจนถึงการตรวจพบด้วยกระบวนการทางการแพทย์ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ต่อมเพศ โครโมโซมหรือฮอร์โมน ทั้งนี้ อาจพบตั้งแต่แรกเกิดหรือภายหลังก็ได้ ตามสถิติพบประชากร intersex ราว 1.7% ของประชากรโลก
- บุคคล non-binary
คือ บุคคลที่ปฏิเสธนิยามตนเองตามกรอบระบบเพศทวิลักษณ์ ที่เป็นสองขั้วคู่ตรงข้ามกันทั้งเพศสภาพเพศวิถี ไม่อยู่ในกรอบเพศชาย-หญิง รักต่างเพศ-รักเพศเดียวกัน ทอม-ดี้ รุก-รับ หญิงข้ามเพศ-ชายข้ามเพศ
หนึ่งในร่างกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นเรือธงของชุมชมเหล่านี้ คือ การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ระบุ คำนำหน้านามด้วยเจตจำนงของตนเอง ด้วยกฎหมายในประเทศไทยปัจจุบัน ยังเป็นระบบสองเพศ จึงทำให้บุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามเจตจำนงอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองได้
อ้างอิงรายงานของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พบว่า มีคนข้ามเพศอย่างน้อย 3.6 แสนคนในประเทศไทย ที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อตามอัตลักษณ์ได้ แม้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 31 ต.ค. 67 จะเห็นชอบในหลักการให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมาย แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีร่างกฎหมายรับรองการเปลี่ยนคำนำหน้าที่สะท้อนตัวตนผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย
‘กะเทยติด ตม.’ เรื่องซ้ำ ๆ ตอกย้ำปัญหาเพศสภาพไม่ตรงกับคำนำหน้านาม
สิทธิในการเคลื่อนย้ายไปต่างประเทศ คนที่ข้ามเพศ ไม่สามารถจะไปในบางประเทศได้เพราะถูกตั้งคำถามกับรูปลักษณ์และคำนำหน้านามที่ไม่ตรงกันว่าเป็น นาย แต่ทำไม ? รูปลักษณ์เป็นผู้หญิง

เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นกับ นัท – นิสามณี เลิศวรพงศ์ หรือที่รู้จักกันในนาม นัท หิ้วหวี ยูทูบเบอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของจีนกักตัว โดยเธอคิดว่ามาจากการที่เธอมีเพศสภาพไม่ตรงกับคำนำหน้านามในพาสปอร์ต เนื่องจากทั้งบ้านมาพร้อมกัน 7 คน แต่เธอกลับโดนกักตัวอยู่คนเดียว
พร้อมเล่าว่า เวลาไปหลาย ๆ ประเทศเมื่อเธอยื่นพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่จะมีขำนิดหน่อย เพราะในพาสปอร์ตระบุเป็น มิสเตอร์ แต่รูปร่างของเธอเป็นแบบนี้
“เจ้าหน้าที่เขาเวียนเข้ามาถ่ายรูปและหัวเราะ พอถามว่าทำอะไร ก็ตอบไปว่าเป็นยูทูบเบอร์ เป็นเจ้าของธรุกิจ พร้อมให้ดูว่ามีคนติดตามเท่าไหร่ แต่เขาก็คุยภาษาจีน พร้อมหัวเราะซึ่งภาษากายไม่ดีมาก ๆ ก่อนจะถามว่าเอาเงินมาเท่าไหร่ และถามว่าเป็นเงินจากผู้ชายเหรอ ซึ่งตอบว่าเราเป็นเจ้าของธรุกิจ แต่เขากลับมองว่าเป็นกะเทยต้องมีผู้ชายเลี้ยง”
นิสามณี เลิศวรพงศ์
นอกจากการล้อเลียน เหยียดเพศสภาพ บางประเทศยังกังวลถึงความมั่นคง การก่ออาชญากรรม ขณะที่ประเทศไทย ความกังวลลักษณะดังกล่าวยังถูกสะท้อนผ่านเอกสารสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างพระราชบัญญัติการรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ. …. (ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ที่ อ้างถึงผลกระทบโดยรวมที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ว่า
เอกสารของทางราชการที่แต่เดิมกำหนดให้ใช้ คำนำหน้านาม ซึ่งถือตามเพศกำเนิด ได้แก่ เด็กชาย, เด็กหญิง, นาย, นางสาว และนาง จะมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะมีการรับรองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศขึ้น ในขณะที่สังคมอาจเกิดความสับสนโดยเฉพาะโครงสร้างสถาบันครอบครัวจะเปลี่ยนรูปแบบไป จากครอบครัวของบุคคลต่างเพศ ที่ใช้เพศกำเนิดเป็นตัวบ่งชี้ว่าใครคือสามี ภริยา และบิดา มารดา กลายเป็นครอบครัวของบุคคลหลากหลายทางเพศที่ได้รับการรับรองเพศ
ขณะที่การสมัครงาน การมีคำนำหน้าไม่ตรงกับเพศสภาพ ยังส่งผลต่อการถูกเลือกปฏิบัติในการทำงานที่ต้องทำงานให้ตรงกับเพศกำเนิด การถูกเลือกปฏิบัติซ้ำซ้อน เช่น ไปยื่นเอกสารในหน่วยราชการ การทำบัตรประชาชน มักจะถูกเรียกคำนำหน้านามเป็นชาย ทั้งที่ร่างกายเปลี่ยนไปแล้ว เป็นการนำเสนอตัวตนทางเพศที่เขาไม่ได้ยินยอม ซึ่งจากการพูดคุยกับทางราชการไม่ได้ตั้งใจจะเลือกปฏิบัติ แต่ตามเอกสารเป็นคำนำหน้านี้ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก
เมื่อเจ็บป่วย ผู้หญิงข้ามเพศยังต้องไปนอนร่วมกับผู้ชาย อาจถูกล่วงละเมิด เนื่องจากรูปลักษณ์ที่เป็นหญิง ทำให้คนข้ามเพศส่วนหนึ่งไม่อยากที่จะเข้าโรงพยาบาล ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยหนักจริง ๆ (อ้างอิงจากผลการศึกษาดัชนีการตรีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี ในประเทศไทย ปี 66 ของมูลนิธิผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี) พบว่า มีผู้เข้าร่วมโครงการเคยผ่านประสบการณ์ถูกเลือกปฏิบัติในสถานบริการสุขภาพ 16% ซึ่ง กลุ่มบุคคลข้ามเพศถูกเลือกปฏิบัติสูงสุด 25% รองลงมา คือ พนักงานบริการทางเพศ 23% และผู้ใช้สารเสพติด 19% รวมทั้งในกลุ่มคนข้ามเพศมีความต้องการเปลี่ยนแปลงร่างกาย เพื่อให้เป็นเพศที่ตรงกับอัตลักษณ์ของตนเองโดยการใช้ฮอร์โมน ทำให้เกิดอันตรายจากการใช้ฮอร์โมนเกินขนาด ใช้ผิดประเภท และใช้อย่างผิดวิธี โดยเฉพาะจากการซื้อหาตามท้องตลาด โดยไม่มีแพทย์แนะนำ
เช่นเดียวกับ ผู้ต้องขังที่เป็นหญิงข้ามเพศบางคน สะท้อนว่า ความแตกต่างทางเพศสภาพ คือ ความกังวลข้อแรก ของผู้ต้องขังในกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เมื่อรู้ว่า จะต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงเรือนจำ แม้พวกเขาจะเข้าใจดีว่า การถูกคุมขัง คือ การถูกลงโทษตามกฎหมาย ที่เกิดขึ้นจากการทำผิดของตัวเอง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็หวังว่า จะไม่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ ด้วยการเย้ยหยัน หรือล้อเลียนเพศสภาพ เพราะแท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะมีเพศสภาพอย่างไร ? ในความเป็นมนุษย์ ล้วนเท่าเทียมกัน
ด้าน กรมราชทัณฑ์ ให้ความเห็นว่า ทางกรมฯ อาจต้องใช้งบประมาณดำเนินการ จัดพื้นที่สำหรับผู้ต้องขังที่เป็นบุคคลข้ามเพศที่ได้รับการรับรองเพศ กรณีที่ร่างกฎหมายการรับรองเพศประกาศใช้เป็นกฎหมาย จะก่อให้เกิดสิทธิของบุคคลข้ามเพศที่ได้รับการรับรองเพศ โดยเฉพาะสิทธิในการใช้หรือได้รับการบริการสาธารณะตามเพศที่ได้รับการรับรอง ซึ่งส่งผลต่อการใช้งบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้นและเป็นภาระทางการคลังของประเทศได้ สะท้อนได้ว่าผลการผ่านร่างฯ ที่เกี่ยวข้องกับการรับรองเพศ ได้มีผลต่อปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อนโยบาย สิทธิ สวัสดิการ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องสังคายนาทั้งระบบตามไปด้วย
เส้นทาง ร่าง พ.ร.บ. รับรองอัตลักษณ์ทางเพศ-คำนำหน้านาม จะถึงฝันกี่โมง ?

แม้ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 เพื่อคุ้มครองบุคคลจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ แต่กฎหมายนี้เน้นหนักไปยังเพศกำเนิดชาย-หญิงตามระบบเพศทวิลักษณ์ กลายเป็นความเท่าเทียมที่ไม่ครอบคลุมอัตลักษณ์ทางเพศอื่นๆ
ดังนั้นเพื่อสร้างการยอมรับความหลากหลายทางเพศตามกฎหมาย จึงมีการ ร่าง พ.ร.บ. รับรองอัตลักษณ์ทางเพศ-คำนำหน้านาม ขึ้นมา โดยหลายกลุ่มหลายองค์กรทั้งรัฐบาล พรรคการเมือง และภาคประชาสังคม จนมีร่าง พ.ร.บ. ทั้งหมด 4 ฉบับด้วยกัน สะท้อนถึงความต้องการของสังคมที่พยายามผลักดันให้อัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายได้รับการรับรองทางกฎหมายเท่าเทียมกับชายหญิงอย่างแท้จริง ทั้ง 4 ฉบับ ประกอบด้วย
- ร่าง พ.ร.บ. รับรองเพศ พ.ศ. …. ร่างโดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ผ่านคณะรัฐมนตรี ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแล้ว อยู่ในระหว่างรอ ครม. เสนอต่อสภาฯ (ร่างกรมกิจการสตรี)
- ร่าง พ.ร.บ. การรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ. …. สส. พรรคก้าวไกล เสนอต่อสภาฯ แต่เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 67 เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมสภาฯ มีมติไม่รับหลักการร่าง ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 155 เสียง ไม่เห็นชอบ 257 เสียง และ งดออกเสียง 1 คน ไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน จากจำนวนผู้ลงมติ 414 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการยก ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ โดยพรรคประชาชน
- ร่าง พ.ร.บ. รับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ การแสดงออกทางเพศสภาพ และคุณลักษณะทางเพศ พ.ศ. …. เป็นร่างของภาคประชาชน อยู่ระหว่างรอบรรจุวาระเพื่อพิจารณาหลักการในสภาฯ (GEN-ACT)
- ร่าง พ.ร.บ. รับรองการกำหนดเจตจำนงในอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ การแสดงออกทางเพศสภาพ และคุณลักษณะทางเพศของบุคคล พ.ศ. … โดย ภาคประชาชนในนามกลุ่ม Intersex Thailand กำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมรายชื่อสนับสนุนอย่างน้อย 10,000 รายชื่อผ่านทาง https://intersexthailand.org/petition/ เพื่อเสนอต่อสภาฯ (ร่าง Intersex)
ทั้ง 4 ร่างมี หลักการร่วมกัน คือ บุคคลย่อมมีเจตจำนงในการเลือกเพศให้กับตนเอง (self-determinatiom) หากแต่กฎหมายไทยยังขาดมาตรการทางกฎหมาย ในการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ การแสดงออกทางเพศสภาพ คุณลักษณะทางเพศ ส่งผลให้บุคคลจำนวนมากถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เช่น การจ้างงาน การเข้ารับบริการด้านการสาธารณสุข การได้รับสวัสดิการสังคม การศึกษา การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
รวมไปถึงการถูกแทรกแซงเนื้อตัวร่างกาย ทำให้ไม่สามารถมีเจตจำนงในการเลือกเพศให้ตนเอง ในกรณีของบุคคลเพศกำกวม (intersex) ซึ่งในร่างทั้ง 4 ฉบับ กำหนดว่า บุคคลที่เมื่อแรกเกิดมีเพศกำกวม ผู้ปกครองหรือบุคคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถบังคับหรือแทรกแซงทางการแพทย์ใด ๆ ต่อเพศเด็ก จนกว่าเจ้าตัวจะยินยอมด้วยตนเอง หากเมื่อโตขึ้นเด็กมีความประสงค์จะผ่าตัดเพื่อยืนยันเพศ ต้องมีผู้แทนโดยชอบธรรม ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการสหวิชาชีพ และสำหรับการบันทึกข้อมูลในทะเบียนราษฎร ห้ามไม่ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือนายทะเบียนกำหนดเพศของเด็กในทะเบียนราษฎรเอง จนกว่าเด็กจะให้ความยินยอมโดยชัดแจ้ง
ทั้ง 4 ร่างกฎหมาย แม้จะมีหลักการเดียวกัน แต่ในรายละเอียดมีความแตกต่างกันเช่น เสรีภาพในการเลือกคำนำหน้านาม นอกจากสามารถเลือก นาย นาง นางสาวได้เองแล้ว บางร่างเสนอให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นาม” “คุณ” หรือ ไม่ระบุคำนำหน้านามเลย เพื่อแสดงความเป็นกลางทางเพศ
รวมทั้งการกำหนดอายุบุคคลที่สามารถการจดทะเบียนรับรองอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง และการแก้ไขเพศในเอกสารราชการต่าง ๆ ว่ารวมถึงสูติบัตรด้วยได้หรือไม่ ? นอกจากนี้ในการใช้คำนิยามบุคคลเพศกำกวม (Intersex) แต่ละร่างยังใช้คำที่แตกต่างกัน ดังนี้

เรื่องการเลือกคำนำหน้านามตามเจตจำนงเสรีนั้น มีเส้นทางการขับเคลื่อนมายาวนาน เท้าความไปถึงช่วงเวลาที่มีการ ร่าง พ.ร.บ. คำนำหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว สังกัด พม. ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ทางเลือกกับผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสหรือการสมรสสิ้นสุดลง ได้เลือกใช้คำนำหน้านาม “นาง” หรือ “นางสาว” ตามความสมัครใจ
ทางกรมกิจการสตรีฯ ได้หารือพูดคุยกับกลุ่มคนข้ามเพศ เกี่ยวกับทางเลือกในการใช้คำนำหน้านามตามเพศสภาพด้วย แม้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะไม่ได้ให้สิทธิคนข้ามเพศในการเลือกคำนำหน้านาม แต่ถือว่าได้จุดประกายการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเลือกคำนำหน้านามของกลุ่มคนข้ามเพศ
การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศในประเทศต่าง ๆ

ใน ปี 2555 อาร์เจนตินา เป็นประเทศแรกที่ผ่าน กฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ที่คนข้ามเพศสามารถเปลี่ยนแปลงเครื่องหมายกำหนดเพศสภาพในสูติบัตร และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตามคำขอของเจ้าตัว โดยไม่ต้องมีการวินิจฉัยทางการแพทย์หรือผ่าตัดข้ามเพศ และไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบกฎหมายรับรองเพศสภาพให้กับประเทศอื่นตามมา มากกว่า 30 ประเทศ เช่น โคลอมเบีย ในปี 2558 เดนมาร์ก และไอร์แลนด์ในปี 2559
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในโลกภาษาอังกฤษมีความพยายามแสวงหาคำนำหน้านาม ที่เป็นกลางทางเพศเพื่อสร้างทางเลือกและเสรีภาพในการใช้คำนำหน้านามตามเจตจำนงเสรี เช่น
- Ind ย่อมาจากคำว่า “Individual” แปลว่า ปัจเจกบุคคล
- M มาจากการตัดตัวอักษรที่ 2 ของ Mr. และ Ms. เพื่อความเป็นกลางทางเพศ แต่อย่างไรก็ตามในโลกภาษาฝรั่งเศส M คือตัวย่อของคำนำหน้านามผู้ชาย “Monsieur” นำไปสู่การสับสนในการใช้
- Mx มาจากคำว่า “Mix” มีหลักฐานว่าคำนี้ใช้ในประมาณ ค.ศ. 1965 กระทั่งใน ค.ศ. 1982 เริ่มมีผู้ใช้คำนี้ในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจังและนำไปสู่การเคลื่อนไหวให้ใช้คำนี้ในค.ศ. 1998 จนเริ่มเป็นที่นิยมประมาณ ค.ศ. 2000 กระทั่งถูกบรรจุลงไปในพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับออกซ์เฟิร์ดอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 2015
- Pr ออกเสียงว่า “Per” มาจากคำว่า “Person” เริ่มใช้ใน ค.ศ. 2001 จากนักเคลื่อนไหวที่ร้องร้องเรียนให้สื่อมวลชนใช้คำนี้เพื่อไม่ระบุเพศบุคคลในข่าว อย่างไรก็ตามคำนี้เป็นคำนำหน้านามศิษยาภิบาลในสังคมศาสนาคริสต์ก่อนหน้านี้แล้ว นำไปสู่ความสับสนในการใช้
และจากการสำรวจของ Gender Census ใน ค.ศ. 2019 จำนวน 11,242 คน ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึง 30 มีนาคม ในโลกออนไลน์ พบว่าความนิยมในการใช้คำนำหน้านามคือ ไม่ใช้คำนำหน้านามเลย ร้อยละ 33 ใช้คำว่า Mx ร้อยละ 31.3
ขณะที่ผลการศึกษาผลกระทบของกฎหมายนี้ พบว่า เพียง 5 ปี หลังจากอาร์เจนตินา ออกกฎหมายรับรองเพศสภาพ ผู้คนมีทัศนคติทางบวกต่อคนข้ามเพศมากขึ้น เยาวชนข้ามเพศได้รับการยอมรับในครอบครัว และจากครูอาจารย์ผู้บริหารในโรงเรียน ไม่มองว่าเป็นความเจ็บป่วยหรือผิดปกติ ทำให้เยาวชนข้ามเพศกลับไปเรียนต่อหลังหลุดจากระบบการศึกษาเพราะทัศนคติเชิงลบในโรงเรียน
อีกทั้งรายงานเกี่ยวกับความรุนแรงต่อคนข้ามเพศลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะการมีบัตรประชาชนที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศส่งผลให้มีการจับกุมน้อยลง ถูกเลือกปฏิบัติและกลั่นแกล้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐน้อยลง คนข้ามเพศรู้สึกปลอดภัย และมั่นใจในการที่จะสื่อสารเพื่อความหลากหลายทางเพศมากขึ้น (อ้างอิงจาก Inés Arístegui et al. (2017) Impact of the Gender Identity Law in Argentinean transgender women, International Journal of Transgenderism.)
อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบงานวิจัย หรือรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับปัญหารุนแรงที่สืบเนื่องจากกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ
ย้อนกลับมาที่ ประเทศไทย ร่างกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ และ คำนำหน้านาม ที่เสนอโดย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ()และคณะเป็นผู้เสนอ เคยเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว แต่ถูก “ปัดตกไป” โดยสมาชิกลงคะแนนเห็นด้วย 152 เสียง, ไม่เห็นด้วย 256 เสียง, งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง
ถือว่าที่ประชุม ไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดย ธัญวัจน์ ย้ำว่า ต้องคืนเจตจำนงการระบุเพศให้ LGBTQIAN+ ส่วนทางด้านพรรคเพื่อไทย ค้านเพราะห่วงปัญหาอาชญากรรม
แต่ก็ยังเหลือความหวัง เพราะมีร่างกฎหมายอีก 3 ฉบับ คือ ร่างฯ จากกรมกิจการสตรีฯ, ร่างฯ ภาคประชาชน ที่ยังไม่ได้เข้าสภาฯ รวมถึงร่างของ Intersex Thailand ซึ่งอยู่ในขั้นตอนรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างน้อย 10,000 รายชื่อ เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างอีกครั้ง ไม่ต่างจากช่วงแรกของการเสนอ กฎหมายสมรสเท่าเทียม
โดยในช่วง Pride Month 2025 คาดว่า กลุ่ม LGBTQIAN+ และภาคประชาชนที่สนับสนุนการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ หรือระบุคำนำหน้านามด้วยเจตจำนงของตนเอง จะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสียง สร้างความเข้าใจต่อผู้คนในสังคม ในประเด็นวิถีทางเพศ และอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อสร้างหลักประกันคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้ก้าวไปสู่ความเสมอภาค และความเคารพในสิทธิทางเพศ