ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์การศึกษา กสศ. ชี้ แม้ส่งผลกระทบต่อการศึกษาเป็นวงกว้างในหลายมิติทั่วโลก แต่เป็นแรงผลักดันนวัตกรรมการศึกษา ที่สอดรับบริบทพื้นที่
ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประเมินสถานการณ์การศึกษาที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของโควิด-19 ตลอดปี 2563 พบว่านำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงต่อแวดวงการศึกษาโลกและไทยในแง่มุมต่าง ๆ
การเรียนรู้ลดลง ผลเสียต่ออนาคตการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ภูมิศรัณย์ ระบุว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ห้องเรียนส่วนใหญ่ต้องถูกปิด แม้จะเปลี่ยนมาทำการเรียนการสอนแบบออนไลน์ แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการเรียนในห้องเรียน ทำให้เด็กมีปัญหาทั้งการเรียนที่ต้องหยุดชะงัก ไปจนถึงความไม่พร้อมของผู้ปกครอง การขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การใช้เวลาหน้าจอมากเกินไป ขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน สุดท้ายทำให้เกิดความเครียดทั้งเด็กและครู
“สุดท้ายคือการที่เด็กมีการเรียนรู้ที่ลดลง (Learning Loss) ในสถานการณ์โควิด-19 ช่วงที่เขาต้องอยู่บ้าน หรือขาดการทบทวนบทเรียนเป็นเวลานาน ความรู้ก็อาจจะหายไป นอกจากนั้น ยังอาจส่งผลต่อพื้นฐานความรู้ในด้านสำคัญ ๆ ของการพัฒนาทุนมนุษย์ในสังคม หลายประเทศก็พยายามแก้ปัญหา โดยเพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มอินเทอร์เน็ต เทรนด์ครูให้รับมือกับการเรียนการสอนแบบระยะไกล”
ผนึกกำลังท้องถิ่น แก้ปัญหาการศึกษาตามบริบทพื้นที่
เขามองว่า ข้อดีในช่วงที่ผ่านมาคือ การทำให้เกิดนวัตกรรมการเรียนการสอนทางไกลเป็นจำนวนมาก มีการคิดค้นวิธีการที่ดี ๆ หลายอย่าง ทำให้เรารู้ว่าการศึกษาไม่ใช่เกิดขึ้นได้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เมื่อมีสถานการณ์จำเป็นก็สามารถเกิดได้ทุกที่ ทั้งทางออนไลน์ หรือทางออฟไลน์
อย่างครูโรงเรียนบนดอยที่สมัยก่อนต้องขี่ม้าไปสอน แต่ปัจจุบันอาจจะใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือมอเตอร์ไซต์ หรือครูในเมืองก็มีการใช้รถพุ่มพวงการศึกษาที่มีหนังสืออุปกรณ์ออกไปสอนเด็ก หรือโครงการต่าง ๆ เช่น บ้านปลาดาว ที่มีนวัตกรรมพวกกล่องการเรียนส่งไปให้นักเรียนในช่วงโควิด-19 ซึ่งสามารถบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในช่วงเวลาวิกฤตได้ ที่สำคัญ คือ การทำให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชน ทำให้เห็นว่าผู้ปกครองหรือคนที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นก็มีความใส่ใจต่อประเด็นการศึกษาของลูกหลาน และเขาก็สามารถหาทางแก้ปัญหาในบริบทของเขาได้
“ตอกย้ำว่าสิ่งที่เราสั่งการจากส่วนกลาง เช่น นโยบายการศึกษา แนวปฏิบัติ อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับบริบทเสมอไป การปล่อยให้คนในท้องถิ่นได้คิดเองอาจได้ผลลัพธ์ หรือแนวทางการแก้ปัญหาที่คนในเมือง หรือนักการศึกษาจากส่วนกลางคิดไม่ถึง”
แนวโน้มเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
โควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดย กสศ. พบว่า ยิ่งเด็กยากจน ยิ่งได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งครอบครัวที่ผู้ปกครองตกงาน ผู้ที่มีรายได้ลดน้อยลง หรือมีภาระพึ่งพิงมากขึ้น ล้วนกระทบต่อการศึกษาของลูกหลาน และทำให้แนวโน้มของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยมีมากขึ้น เพราะอาจจะทำให้เด็กต้องขาดเรียนมากขึ้น หรือครอบครัวมีรายจ่ายเพื่ออุดหนุนการศึกษาน้อยลง
กระทบต่อการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยถึงอุดมศึกษา
โควิด-19 ยังส่งผลกระทบกับการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่กลุ่มเด็กปฐมวัย ก่อนประถมศึกษา ศูนย์เด็กเล็กหรือเนอร์สเซอรี่ เพราะเด็กวัยนี้ไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้ ต้องอยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้ออกไปเล่นตามวัย โดยพบว่าในช่วง โควิด-19 เด็กเล็กมีการพัฒนาของกล้ามเนื้อที่ลดลง
นอกจากนั้นกลุ่มเด็กพิการ หรือเด็กกลุ่มพิเศษที่ต้องการการเรียนการสอนแบบเฉพาะเจาะจง ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงของการหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ก็ได้รับผลกระทบจากการออกจากห้องเรียนเช่นกัน สำหรับเด็กโต การเรียนการสอนในวิชาที่ต้องมีการฝึกปฏิบัติการต่าง ๆ ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าวิชาที่สามารถเรียนได้ในระยะไกล เช่น วิชาคอมพิวเตอร์
สำหรับในส่วนของมหาวิทยาลัยก็มีรายได้ลดลง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชนที่ขาดรายได้จากนักศึกษาต่างชาติ หรือจากสภาวะเศรษฐกิจที่ผู้ปกครองมีรายได้ลดลง ในต่างประเทศพบว่า มหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในสหรัฐ อังกฤษ หรือออสเตรเลีย ซึ่งอาศัยรายได้จำนวนมากจากนักศึกษาต่างชาติหรือนักศึกษาต่างรัฐ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดและต้องเรียนทางไกล ทำให้นักศึกษาหลายคนตัดสินใจพักการเรียน
“มหาวิทยาลัยหลายแห่งประสบปัญหารายได้ลดลง ทำให้ต้องปิดตัวหรือชะลอการเปิดหลักสูตรเอาไว้ก่อน หรือยกเลิกการรับนักศึกษาในระดับบัณฑิตในบางสาขา นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ผลักดันโมเดลใหม่การศึกษา หลัง โควิด-19
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา ระบุว่ากรณีปัญหาที่เด็กต้องสูญเสียการเรียนไปนั้น หลายประเทศมีแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน บางประเทศมีองค์กร NGO ที่จัดติวเตอร์อาสาสมัครไปสอนหนังสือให้กับเด็กในพื้นที่ เพื่อให้เรียนได้ทันในช่วงที่ต้องหยุดเรียน หรือมีการระดมทรัพยากรจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน เพื่อเติมเต็มช่องว่างของทรัพยากร รวมไปถึงการปรับรูปแบบการศึกษาออกนอกกรอบ เช่น การยกเลิกการสอบไล่ปลายปี การยกเลิกระบบการสอบเข้า ระบบการให้เกรดแบบชั่วคราว
นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 หลายประเทศก็เริ่มมีการผลักดันเชิงนโยบายในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การยกเลิกการสอบแบบมาตรฐาน (standardized test) ยกเลิกการนำเอาการสอบเหล่านี้ไปเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ประเทศไทยก็มีการถือโอกาสยกเลิกการสอบ O-NET ไปด้วยเช่นกัน โดยฝ่ายที่ต่อต้านการสอบมาตรฐานก็จะถือโอกาสออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนว่า ไม่จำเป็นต้องมีการสอบประจำปีเช่นนี้ ดังจะเห็นจากการยกเลิกชั่วคราวก็สามารถทำได้
ในสหรัฐอเมริกามีการพูดถึงความเหลื่อมล้ำระหว่าง เศรษฐฐานะ หรือผิวสี ซึ่งสะท้อนออกมาจากการสอบมาตรฐานเช่น SAT, ACT ซึ่งคนจนจะทำคะแนนได้ไม่ดีเพราะไม่มีโอกาสไปเรียนพิเศษ ในช่วงสถานการณ์นี้ก็ทำให้หลายมหาวิทยาลัยยกเลิกการนำผลสอบไปเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาและอาจจะพิจารณายกเลิกแบบถาวร หรือนโยบายในเรื่องการประเมินผลโรงเรียน การประเมินผลครู ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้วิธีการในแบบเดิม ๆ ได้ ทำให้หลายประเทศต้องพยายามคิดหาแนวทางเชิงนโยบายแบบใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าในอดีต
สำหรับประเทศไทยในช่วงเฟสแรกถือว่าค่อนข้างโชคดี เพราะโควิดระบาดในช่วงปิดเทอมพอดี ซึ่งต่อมามีการเลื่อนเปิดเทอมออกไปสองเดือน ช่วงนั้น นอกจากเรื่องทางการเรียนรู้แล้ว ก็ยังพบด้วยว่าทั้งเด็กในชนบทและเด็กยากจนมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดย กสศ. ได้มีโครงการจัดอาหารเลี้ยงน้อง
“แต่ในการระบาดรอบสองนี้ หากมีการประกาศปิดโรงเรียนอีก ทางโรงเรียนก็น่าจะปรับตัวได้ง่ายกว่าครั้งที่แล้ว เพราะมีต้นทุนเดิมที่ทำไว้แล้วบ้าง หรือพวกระบบบทเรียนทางไกลต่าง ๆ”
แต่เขายังมองเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วง คือ เด็กที่ไม่มีความพร้อมในการเรียนในลักษณะทางไกลที่จะทำให้เขาต้องขาดหายทางวิชาการไป และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะทำให้มีเด็กหลุดนอกระบบการศึกษามากขึ้น ซึ่ง กสศ. ก็คงจะต้องมีแนวทางร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในการช่วยเหลือเด็ก ๆ ครู และโรงเรียนในกลุ่มนี้
“ตลอดทั้งปี 2563 โดยรวมเราได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงไปของการศึกษาจากรูปแบบ Conventional Education System ไปสู่ทางเลือกและการปรับตัวใหม่ ๆ ทำให้ได้เห็นว่าจริง ๆ แล้ววงการศึกษาสามารถปรับตัวพลิกแพลงได้ในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนมากคือเด็กยากจนด้อยโอกาส ทั้งจากปัญหาทางการเข้าถึง ปัญหาทางเศรษฐกิจ”
นอกจากนี้ ยังได้เห็นสถานการณ์วิกฤตด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาการเรียนรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด ที่เกิดกับประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มีเทคโนโลยีที่สูง แต่กลับขาดนโยบายการสนับสนุนทางสังคม (Social Safety Net) ที่ดีพอ
“จึงเป็นบทเรียนว่าระบบของการสนับสนุนทางสังคมด้านการศึกษา และความมุ่งมั่นของภาครัฐและความร่วมมือจากภาคประชาสังคมต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เราควรจะคาดหวังที่จะไปให้ถึงถ้าหากสังคมไทยต้องการไปให้ถึงความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างแท้จริง”