ชี้ “ครู” คือคุณภาพการศึกษา พบปัญหา “สถาบันผลิตครู” แต่ละแห่งมีมาตรฐานแตกต่าง ไม่เท่าเทียม เตรียม 3 กลไกปฏิรูประบบผลิตครูยุคใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ
วันนี้ (12 พ.ย. 2564) รศ.ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เปิดเผยว่า คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาได้เล็งเห็นความสำคัญของกระบวนการผลิตครูที่มีคุณภาพเนื่องจากครูคือตัวชี้คุณภาพการศึกษาของประเทศ เป็นผู้รับบทบาทหน้าที่อบรมสั่งสอนผู้เรียนให้มีความรู้ ทัศนคติ และทักษะการใช้ชีวิตในสังคม จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรม “ปฏิรูปกลไกระบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน” ซึ่งเป็น Big Rock ที่ 3 ในแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา โดยแบ่งเป็น 3 กลไก ดังนี้
1. กระบวนการคัดเลือกนิสิต/นักศึกษาครูที่มีประสิทธิภาพ
การพัฒนารูปแบบการคัดเลือกเด็กนักเรียนหรือบุคคลที่มีความประสงค์เข้าเรียนครูอย่างเที่ยงตรง ด้วยการกำหนดเกณฑ์การรับสมัคร กำหนดเกรดเฉลี่ยมาตรฐาน การทดสอบความรู้ทั่วไป การทดสอบวัดความรู้ความสามารถในแต่ละสาขาวิชา การทดสอบจิตวิทยา วัดคุณลักษณะความเป็นครู รวมถึงการสอบสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบบุคลิกภาพว่าบุคคลนั้นมีความเหมาะสมที่จะเป็นครู หรือจิตวิญญาณความเป็นครูหรือไม่
2. หลักสูตรการผลิตครูที่เป็นเลิศ
สถาบันผลิตครูต้องดำเนินการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรการผลิตครูตามสาขาวิชาและบริบทพื้นที่เพื่อให้มีคุณภาพและมาตรฐาน มีการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และระบบนิเทศการศึกษา โดยเฉพาะการสอนงานครูพี่เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากครูพี่เลี้ยงต้องเป็นทั้งผู้ดูแลการฝึกปฏิบัติการสอน และบ่มเพาะประสบการณ์วิชาชีพให้แก่นักศึกษา จึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในความเป็นครูอย่างลึกซึ้ง
3. สถาบันผลิตครูมีมาตรฐานตามตัวชี้วัด
ต้องมีการกำหนดสมรรถนะและพัฒนามาตรฐานของสถาบันการผลิตครู เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และต้องบริหารจัดการให้มีการกำหนดตัวชี้วัดสมรรถนะอาจารย์ประจำหลักสูตรวิชาชีพครูของสถาบัน รวมทั้งพัฒนาอาจารย์ประจำหลักสูตรให้มีสมรรถนะตามมาตรฐาน ทั้งความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเอกและวิชาชีพครู
“การผลิตและพัฒนาครูของไทยในปัจจุบัน มีปัญหาทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เนื่องจากสถาบันแต่ละแห่งมีมาตรฐานและกระบวนการผลิตครูที่แตกต่างและไม่เท่าเทียมกัน สถาบันผลิตครูที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่มักเปิดหลักสูตรเพื่อผลิตบัณฑิตในสาขาที่มีความซ้ำซ้อนกัน ทำให้จำนวนบัณฑิตครูมีจำนวนมากเกินกว่าความต้องการ”
รศ.ประพันธ์ศิริ กล่าวต่อว่า จากรายงานผลการสอบบรรจุบุคคลเข้ารับราชการครู ปี 2563 พบว่า มีผู้สมัครและมีสิทธิ์สอบ 157,314 คน จากความต้องการ 18,987 คน มีผู้สอบได้เพียง 10,375 คน หรือร้อยละ 6.8 ทำให้มีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกไปบรรจุเพียงร้อยละ 55 เท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความสูญเปล่าทางการศึกษาของประเทศเป็นอย่างมาก
อีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อกระบวนการผลิตครู คือความไม่แน่นอนและต่อเนื่องของแนวนโยบายและหลักสูตร เช่น การจัดหลักสูตรครู 4 ปี และ 5 ปี จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) พบว่า จำนวนปีไม่มีผลต่อคุณภาพบัณฑิต แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่กระบวนการผลิต อาทิ โครงการเพชรในตม หลักสูตร 4 ปี จำนวน 22 รุ่น และหลักสูตร 5 ปี จำนวน 6 รุ่น ที่แสดงให้เห็นว่าคุณภาพบัณฑิตไม่แตกต่างกัน โดยทั้งครู ผู้ปกครอง และผู้เรียนส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับหลักสูตรครู 4 ปี เนื่องจากการเรียน 5 ปี ส่งผลให้ทุกฝ่ายต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ด้วยบริบทของประเทศและโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ ด้าน ครูและบุคลากรทางการศึกษาจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับสังคมโลกยุคใหม่ เพื่อปรับตัวให้สอดคล้องและพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต
“เป็นหน้าที่ของสถาบันผลิตครู ที่ต้องปรับบทบาทการผลิตครูให้มีสมรรถนะสูงและตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ด้วยการปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการผลิตครูให้เหมาะกับสถานการณ์และยุคสมัย เพื่อให้ได้มาซึ่งครูยุคใหม่ที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งยึดมั่นในจริยธรรมและจรรยาบรรณครูอย่างเข้มแข็งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม”