ย้อนปม นักเรียนสัญชาติกัมพูชา ใน จ.สุรินทร์ ถูกแจ้งความจับ หลังติดตามพ่อแม่ลักลอบเข้าเมือง ครูโพสต์เศร้า! ย้ำ เด็ก พูด อ่าน เขียนภาษาไทย เรียนดี วอน อย่าตัดโอกาสเด็ก ขณะที่ นักวิชาการ ยก ข้อสงวนอนุสัญญาสิทธิเด็ก ข้อ 22 หวั่นไทยปฏิบัติสวนทาง พร้อมเรียกร้อง สตช. ทบทวนวิธีปฏิบัติต่อเด็ก
วันนี้ (28 ส.ค. 68) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sopon Jongboriboon ซึ่งเป็นครู โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ โพสต์เรื่องราว ระบุว่า มีตำรวจเข้ามานำตัวนักเรียน วัย 13 ปี หลังมีผู้แจ้งความว่า มีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าว เนื่องจากมีแม่เป็นชาวกัมพูชาลักลอบเข้าเมืองมาตั้งแต่เด็กยังเป็นทารก โดยพ่อแท้จริงก็มีสัญชาติกัมพูชา ส่วนพ่อเลี้ยงเป็นคนไทย



ครูผู้โพสต์ ยังระบุว่า หลังเคารพธงชาติ มีรถตำรวจเข้ามารับนักเรียนไปด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่เด็กเติบโต ใช้ชีวิต และศึกษาเล่าเรียนในไทยมาตลอด พูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารภาษากัมพูชาได้เลย ผู้โสต์ย้ำว่า นักเรียนเป็นเด็กเรียนดี จบประถมฯ ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 มีความสามารถด้านดนตรี กีฬา และวิชาการ
ระหว่างอยู่ที่โรงพัก แม่และลูกต่างร้องไห้ ครูเล่าว่า แม่ไม่รู้จะกลับไปอยู่ที่ไหนเพราะไม่มีบ้านในกัมพูชา ทั้งยังกังวลว่า หากถูกส่งกลับไปยังจังหวัดกำปงจาม ซึ่งอยู่ไกล และไม่คุ้นเคย จะไม่สามารถตั้งหลักได้ ขณะเดียวกันนักเรียนคนดังกล่าว ได้ถูกเปลี่ยนชุดจากชุดลูกเสือไปเป็นชุดไปรเวท เพื่อรอส่งตัวไปฝากขังที่ด่านกาบเชิง ก่อนส่งต่อไปด่านสระแก้ว
ต่อมา ครูผู้โพสต์ ย้ำว่า ทุกอย่างยังต้องดำเนินไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ครูและเพื่อนครู ก็พยายามติดตามหาทางช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
ทวนการถอนข้อสงวนอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 22
ไทยต้องคุ้มครองเด็กผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง
รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นกรณีนี้ผ่านโซเชียล โดยระบุว่า ควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เข้ามาดูแลในมิติ “สิทธิเด็ก” ไม่ควรใช้เพียงกฎหมายปกครองอย่างเดียว จนทำให้เด็กเสียอนาคต พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเพิ่งถอนข้อสงวน ข้อ 22 ว่าด้วยการคุ้มครองเด็กผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับการคุ้มครองเด็กผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิง แสดงถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสิทธิเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ อนุสัญญา ข้อ 22 ไม่ได้หมายถึงการให้สัญชาติไทยแก่เด็กโดยตรง แต่เป็นการคุ้มครองสิทธิพื้นฐาน เพื่อให้เด็กยังสามารถใช้ชีวิตและเรียนหนังสือต่อไปได้ในประเทศไทย แม้ยังมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวก็ตาม
นักวิชาการและครูจึงเรียกร้องให้ พม. เร่งเข้ามาดูแลและหาทางออกโดยยึดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลัก ไม่ปล่อยให้เด็กถูกส่งกลับโดยไร้ที่พึ่งพิง

รศ.เจษฎา ย้ำด้วยว่า พม. ต้องติดตามสิทธิของเด็กกลุ่มดังกล่าว เพื่อไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ และยึดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ โดยอนุสัญญาฯ ข้อ 22 ไม่ได้หมายความว่าเด็กเหล่านี้จะได้รับสัญชาติไทย แต่เป็นการรับรองสิทธิในการใช้ชีวิตและเรียนหนังสืออย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กระทรวง พม. ควรเร่งหาทางช่วยเหลือเด็กนักเรียนคนนี้ ให้ยังสามารถศึกษาต่อในไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องรีบส่งกลับกัมพูชา
ย้ำเด็กทุกคนไม่มีเจตนาเข้าเมืองผิดกฎหมายด้วยตัวเอง
ศิวนุช สร้อยทอง หัวหน้าคลินิกกฎหมาย มูลนิธิกระจกเงา ให้ความเห็นกับ The Active โดยมองว่า จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เด็กไม่ได้มีสัญชาติไทย และไม่ได้มีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิด สามารถเรียนในไทยได้ไหม ? ต้องย้อนกลับมาดูว่าไทยคิดกับเรื่องนี้อย่างไร แต่ถ้าพูดถึงมุมมองระดับโลก การศึกษาสำหรับทุกคน education for all เบ่งบานมากตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรามีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เรื่องการศึกษา เป็นสันติภาพอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เพราะถ้าหากให้คนมีการศึกษา มีการเรียนรู้ที่ดี การเกิดสงคราม การเกิดอาชญากรรม ก็จะลดลง ไม่ได้หมายความว่าไม่เกิดขึ้นเลยแต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็จะมีเปอร์เซ็นต์ลดลง
หลังจากเกิดแนวคิดนี้ก็มีการพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ อย่าง อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่บอกว่า เด็กทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ควรจะได้รับการศึกษา และเป็นหน้าที่ของรัฐนั้น ๆ ที่ต้องทำให้เด็กได้เรียน

ก่อนหน้านี้ประเทศไทย แม้แต่เด็กที่ไม่ได้แจ้งเกิด ก็ถูกเข้าใจว่า ไม่มีสิทธิเรียน ทำให้มีมติ 5 ก.ค. 2548 ที่ให้ค่าหัวการศึกษาสำหรับเด็กทุกคน ที่เรียนในประเทศไทย โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ต้องพิสูจน์ว่าเด็กเป็นใคร แต่เมื่ออยู่ในประเทศไทย เขาต้องเรียนได้ ในการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากนั้นก็มีการกำหนดรหัสประจำตัวเด็ก หรือ รหัส G ซึ่งกรณีเด็กที่เป็นข่าว ใน จ.สุรินทร์ นั้น เขาอาจจะมีรหัส G หรือ ไม่มีก็ได้ แต่เมื่อเขาเรียนในไทย ถ้ายังไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร ตามกฎหมายนโยบายทางด้านการศึกษา ก็ต้องกำหนดรหัส G ให้เขา เพื่อให้ค่าหัวทางการศึกษากับเด็กได้
ที่สำคัญประเทศไทยยังพัฒนาเรื่องการศึกษา และการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลของเด็กมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งควรเป็นการทำงานร่วมกันของ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย ที่สำรวจเด็กที่ยังไม่ถูกรับรองทางทะเบียน หรือ พิสูจน์สัญชาติที่ถูกต้อง
“หากเด็กยังไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติกัมพูชา ถ้ายังไม่มีหลักฐานประเทศกัมพูชา แนวทางปฏิบัติของประเทศไทย จะบันทึกเด็กเป็นรหัส 0 ก่อน เพื่อทำให้เด็กมีสถานะอยู่อาศัยในประเทศไทยได้ และสามารถเรียนได้ จากนั้นหากในอนาคต พิสูจน์สัญชาติกัมพูชาได้ ก็เป็นปฏิบัติการปรับสถานะการเข้าเมืองของเด็กให้ถูกต้องให้เด็กทำบัตรผ่านแดนก็ได้ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไทยทำมาตลอด และไม่เคยมีนโยบายที่มุ่งไปจับกุมเด็กเยาวชน เพราะเราเข้าใจตรงกันว่าเด็กทุกคนไม่ได้มีเจตนาด้วยตัวเองว่าจะเข้าเมืองผิดกฎหมาย”
ศิวนุช สร้อยทอง
ศิวนุช ยังชี้ว่า ตามกลไกที่ถูกต้องเมื่อกรณีเด็กถูกจับกุม ต้องเข้าสู่ศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งศาลจะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาโดยการแก้ไขสถานะของเด็ก คือ ไม่มุ่งเน้นไปผลักดัน เด็กออกนอนประเทศ แต่เป็นการสืบเสาะว่า ทำไมเด็กถึงตกหล่น จากการบันทึกในทะเบียนราษฎร หรือไม่มีพาสปอร์ตเดินทางจากกัมพูชา และแก้ไขเอกสารให้ถูกต้อง สามารถทำให้เด็กเรียนในประเทศไทยได้
“ตม.ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งผลักดันเด็กตอนนี้ ตม.มีกฎหมาย มาตรา 54 ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ที่จะทำให้เด็กอยู่ระหว่างการรอตรวจสอบ แล้วค่อยพิจารณาที่จะส่งเด็กออกถ้าพบว่าเป็นไปไม่ได้จริงๆ แต่ข้อกฎหมายไทยเป็นไปได้อยู่แล้ว”
ศิวนุช สร้อยทอง
จี้ สตช. ทบทวนวิธีปฏิบัติต่อเด็ก
ศิวนุช ยังมองว่า การจับเด็ก โดยทั่วไปเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ไม่เคยมีนโยบายของประเทศไทย ที่ไล่จับหรือกวาดต้อนเด็ก เมื่อพบเห็นเด็กกลุ่มเปราะบาง มีปัญหาสถานะ ก็จะส่งให้ กระทรวง พม. ดูแลต่อ ซึ่งเรื่องนี้เป็นกลไกความเข้าใจ ของตำรวจ
“การเข้าพบเด็กของตำรวจ เมื่อพบว่าเด็กมีสถานะการเข้าเมืองไม่ปกติ สิ่งที่ต้องทำคือ ควรจะประสานงาน หน่วยงานที่ดูแลการคุ้มครองสิทธิเด็ก ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา การเข้าเมืองไม่ปกติ ไม่ใช่อาชญากรรมโดยเฉพาะสำหรับเด็ก ในประเทศไทยไม่เคยมองแบบนั้น และในมิติทางกฎหมายเราก็ไม่ปฏิบัติกับเด็กแบบนั้น เรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาจจะต้องกลับมาทบทวนวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีสถานะการเข้าเมืองที่ผิดปกติ ให้มีการประสานงาน ช่วยเหลือ และปรับสถานะให้ถูกต้องสำหรับเด็ก”
ศิวนุช สร้อยทอง
เรียกร้องเจ้าหน้าที่-รัฐไทย อย่าละเมิดข้อตกลงคุ้มครองสิทธิเด็ก
อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ก็ระบุไว้ก่อนหน้านี้ โดยย้ำว่า เด็กข้ามชาติ ไม่สามารถเดินข้ามประเทศเข้ามาเองได้ เด็กจะเป็นผู้ติดตามผู้ปกครองเข้ามาทำงาน กรณีที่ผู้ปกครองหนีภัยการสู้รบ หนีภัยสงคราม หนีภัยความตาย เด็กก็จะตามผู้ปกครองมา เพราะฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจ ว่า เด็กไม่ได้ทำผิด และที่ผ่านมาคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน พยายามที่จะบอกกับรัฐเสมอว่า ไม่ใช่ไปจับพ่อแม่ในฐานะเข้าเมืองผิดกฎหมาย จำเป็นที่จะต้องขังลูกเขาไว้ด้วย เพราะเด็กไม่ได้ทำผิด

ทั้งนี้ยอมรับว่า รัฐบาลมีหลายอย่างที่ก้าวหน้า เช่น ในปี 2562 มีการตรวจสอบ เด็กที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย เป็นเด็กโรฮินยา และเสียชีวิตในห้องกักตอนนั้น รายงานกรรมการสิทธิมนุษยชน บอกว่า เด็กไม่ควรที่จะเสียชีวิตในห้องกัก ถึงแม้ว่าเด็กจะเป็นโรคร้ายแรงอะไรก็แล้วแต่ แต่สถานที่กักกันไม่ควรเป็นสถานที่ที่ใครสักคนควรอยู่โดยไม่มีญาติ และตายเพียงคนเดียว หลังจากนั้นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในปี 2562 ได้ทำ MOU เรื่องการยุติการกักขังเด็กในห้องกัก
“รัฐบาลทำ MOU กับ 7 กระทรวง รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ สาธารณสุข คือเด็กมีสิทธิ์ที่จะได้รับการศึกษาเด็กที่ตามผู้ปกครองสมมติว่าผู้ปกครองหนีภัยการสู้รบ หนีภัยสงคราม เด็กมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในชุมชน เด็กจะต้องไม่ถูกกักแต่วันนี้ สตม. มีเด็กอยู่ 100 คน ที่ติดตามผู้ปกครอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ระบบคัดกรองถึงไม่มีประสิทธิภาพ แต่จริง ๆ แล้วเด็กจะต้องอยู่ในชุมชนไปเรียนหนังสือเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เด็กมีสิทธิ์ที่จะเรียนภาษาแม่ ยูเนสโกก็เป็นห่วงว่าภาษาแม่ทุกวันนี้กำลังจะหายไป”
อังคณา นีละไพจิตร
สว.อังคณา ยังย้ำว่า เรื่องเด็กต้องถือว่าประเทศไทยก้าวหน้ามาก อนุสัญญาสิทธิเด็ก ประเทศไทยก็ให้สัตยาบรรณ ไว้แล้วตั้งแต่ปี 2535 และไทยก็มี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546 ประเทศไทยยังให้สัตยาบันพิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาสิทธิเด็ก 3 ฉบับ เรื่องเด็กในพื้นที่ขัดแย้งทางอาวุธ การแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก แต่วันนี้กลับมีเด็กข้ามชาติถูกกีดกันด้านการศึกษา หรือถูกทำให้กระทบการศึกษา เด็กสามารถเขียนอีเมลส่งไปถึงคณะกรรมการสิทธิแห่งสหประชาชาติได้เลย ว่าถูกเลือกปฏิบัติจากประเทศไทย
“อยากบอกว่าประเทศไทยเวลาอยู่ในสภาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ให้คำมั่นสัญญาต่าง ๆ เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องเด็ก แต่เอาเข้าจริงเวลามีการเลือกปฏิบัติ ก็ไม่เคยเห็นกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายืนยัน ไม่มีใครพูดถึงเด็กข้ามชาติ กระทรวงการต่างประเทศ ควรจะออกมาบอกว่าไทยได้ให้คำมั่นอะไรเรื่องเด็กไว้ แค่ไหนและประเทศไทยก็ได้ถอนข้อสงวนหลายข้อ เช่น การถอนข้อสงวนเกี่ยวกับการจดทะเบียนของเด็กข้ามชาติ การขอ ถอนข้อสงวนเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กบทที่ 19 ของอนุสัญญาสิทธิเด็ก ตอนนี้ยังมีข้อสงวนที่ 12 เด็กผู้ลี้ภัยเพราะประเทศไทยยังไม่ยอมรับให้สัตยาบรรณอนุสัญญาผู้ลี้ภัย และยังไม่ยอมรับสิทธิของผู้ลี้ภัย ที่จะมีสิทธิ์อยู่ในประเทศได้ อย่างไรก็ตามแม้ประเทศไทยไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย แต่เด็กที่ติดตามผู้ปกครองเด็ก ไม่ได้ผิดดังนั้นประเทศไทยมีหน้าที่ต้องคุ้มครองเด็กทุกคนในประเทศนี้”
อังคณา นีละไพจิตร
ชี้ ตำรวจ กระทำผิดจับกุมเด็กในโรงเรียนโดยไม่มีหมายจับ
ขณะที่ ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ความเห็นเช่นกันว่า การจับกุมเด็กนักเรียนอายุ 13 ปีที่แม่ชาวกัมพูชาพามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ยังแบเบาะ แล้วถูกตำรวจที่จังหวัดสุรินทร์จับกุมเพื่อส่งกลับที่ชายแดน ตนได้ไปค้นข้อกฎหมายและได้พูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงขอสรุปความคืบหน้าให้ได้ติดตามดังนี้
- ประเทศไทยเป็นประเทศภาคีใน #อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) การจับกุมเด็กและส่งเด็กออกไปนอกประเทศเช่นนี้ จึงเป็นการผิดอนุสัญญาสิทธิเด็กอย่างรุนแรง และเสื่อมเสียชื่อเสียงของประเทศไทยมาก
- ที่ผิดมากคือเจ้าหน้าที่ตำรวจสุรินทร์ที่ไปจับกุมเด็กโดยไม่มีหมายจับ และไม่ได้มีเหตุทำผิดซึ่งหน้า หรือหลบหนี อีกทั้งไปจับในโรงเรียนซึ่งเป็นที่รโหฐานจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย นอกจากนี้ยังผิดกฎหมายในเรื่องการคุ้มครองเด็กอีกหลายฉบับหลายมาตรา
- เพราะประเทศไทยเป็นประเทศภาคีอนุสัญญาสิทธิเด็ก กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มีการทำ MOU กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ในการจะไม่มีการจับกุมและส่งเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยออกไปนอกประเทศ โดยจะได้มีการหาแนวทางช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
- สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มีการประสานงานกับกรมกิจการเด็กและเยาวชนแล้ว และกรมกิจการเด็กและเยาวชนกำลังประสานงานกับ ตม. เพื่อระงับการส่งตัวออกไปนอกประเทศ
- กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีอำนาจหน้าที่ตาม พรบ. คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ในการอนุญาตคนที่ไม่มีสัญชาติไทยให้พำนักในเมืองไทย จึงมีอำนาจโดยตรงในการให้ความช่วยเหลือเด็กคนนี้ต่อไป ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้ทราบเรื่องแล้ว
- Unisef ที่ดูแลเรื่องสิทธิเด็กและติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสิทธิเด็ก ได้ทราบเรื่องแล้วและกำลังติดตามความคืบหน้าในการแก้ปัญหา
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงได้ทราบเรื่องและกำลังดำเนินการ ขอบคุณคุณครูที่ออกมาเล่าเรื่องนี้ ขอบคุณสื่อมวลชน และทุกท่านที่ช่วยกันติดตาม เป็นทั้งการปกป้องสิทธิของเด็ก ปกป้องมนุษยธรรม และปกป้องชื่อเสียงของประเทศไทยด้วยครับ หวังว่าเรื่องนี้จะออกมาในทางที่ดี และไม่เกิดเหตุแบบนี้อีกครับ”
ผศ.ปริญญา ระบุ