การประชุม ครม.นัดสุดท้ายของปี 2564 วันนี้ (28 ธ.ค.2564) ถูกจับตา ว่าจะมีการพิจารณาร่างกฎหมายการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร หลังจากที่เมื่อวานนี้ P-MOVE /สลัมสี่ภาค /และเครือข่ายภาคประชาชน 19 องค์กร รวมตัวกันยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี คัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่า มีเนื้อหาขัดต่อหลักนิติธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งเพิ่มภาระและจำกัดสิทธิเสรีภาพเกินสมควร พร้อมขอให้ทบทวน
ร่าง พ.ร.บ.องค์การไม่แสวงหากำไร ของคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นฉบับที่ปรับปรุงมาจาก พ.ร.บ.ส่งเสริมความเข้มแข็งองค์กรภาคประชาสังคม ของ พม. ซึ่งเดิมมีเนื้อหาส่งเสริมการทำงานขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร แต่ฉบับล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา และมีข่าวว่า เตรียมนำเสนอเข้า ครม.ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีเนื้อควบคุมการทำงานของภาคประชาสังคม เช่น
1-องค์กรไม่แสวงหากำไร จำเป็นต้อง จดแจ้งการเป็นองค์กร กับ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
2-เปิดเผยที่มาและจำนวนเงินต่อสาธารณะ โดยองค์กรที่รับเงินทุนต่างประเทศ จะต้องแจ้งตั้งแต่ต้นว่าจะนำเงินทุนไปทำกิจกรรมอะไรบ้าง และต้องไม่เข้าข่าย “กระทบความมั่นคงของรัฐ เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสงบ ” มิเช่นนั้นจะถูกเรียกสอบ สั่งปรับ โดยจะต้องรับโทษทั้งองค์กร ตัวผู้ดำเนินงาน และกรรมการ
จึงเป็นที่มาให้ องค์กรภาคประชาสังคม ออกหนังสือคัดค้านร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ….. ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอให้ทบทวนร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา จนมาถึงเมื่อวานนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ออกมาคัดค้าน โดยเครือข่ายเห็นว่าเป็นการกระทำที่ ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามมาตรา 77 และขัดหลักเสรีภาพการรวมกลุ่ม โดยเครือข่ายภาคประชาชนย้ำว่าสิ่งที่ควรตรวจสอบมากกว่าองค์กรแสวงหาผลกำไร คือ ภาครัฐ
“ถ้ากฎหมายที่ผ่านแสดงว่า รัฐ มีเครื่องมือ อาวุธที่ชัดเจนที่จะลงดาบกับองค์กรเห็นต่าง และเล่นงานองค์กรที่กำลังตรวจสอบรัฐ…
ถ้าดูระยะเวลานี้ช่วงที่ นายกรัฐมนตรี สั่งให้ กฤษฎีกา ร่างกฎหมาย เป็นช่วงเดียวกับที่เราเห็นการเคลื่อนไหวภาคประชาชนหลายกลุ่มทั้ง Saveบางกลอย และ iLAW ทำให้ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่า รัฐพยายามจะออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนไหวองค์กรภาคประชาชนที่เห็นต่าง หรือตรวจสอบอำนาจรัฐ
มันจึงดูเหมือนกลับหัว กลับหาง ทั้งที่ความจริงแล้ว ภาคประชาชนควรตรวจสอบภาครัฐ และองค์กรที่แสวงหาผลกำไร”
สุนทรีย์ หัตถี เซ่งกิ่ง เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ กป.อพช.
สุนทรีย์ หัตถี เซ่งกิ่ง เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ กป.อพช. ย้ำว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมา ขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มีการตรวจสอบเอกสารต่างๆ อยู่แล้ว โดยเห็นว่า ท่าทีรัฐเวลานี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า ไม่ได้มองว่า ภาคประชาสังคมเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา