สมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม พร้อมภาคีเครือข่าย เข้าพบรองผู้ว่าฯ ‘วิศณุ‘ เสนอแนวทางสร้างแก้มลิง 4 รูปแบบ มั่นใจ ช่วยระบายน้ำกรุงเทพฯ ลงเจ้าพระยา
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2565 ตัวแทน สมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม (Sconte) คือ ฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที, วีระพันธุ์ ชินวัตร และปองขวัญ ลาซูส พร้อมด้วยตัวแทนจากเครือข่าย บึงรับน้ำคู้บอนเพื่อคนกรุงเทพ เช่น พงศ์พรหม ยามะรัต และชวลักษณ์ เวียงวิเศษ เข้าพบ รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะสั้น กลาง และยาว รวมทั้งเหตุผลความจำเป็นที่กรุงเทพฯ จะต้องมีโครงการบึงรับน้ำคลองคู้บอนและบางชันในฝั่งตะวันออก เพื่อให้มีพื้นที่พักน้ำหรือหน่วงน้ำไว้ในยามที่ปริมาณน้ำฝนเอ่อล้น ก่อนที่จะระบายสู่ระบบคูคลองหรืออุโมงค์ระบายน้ำในเวลาที่เหมาะสมต่อไป
วีระพันธุ์ ชินวัตร อุปนายกสมาคมฯ กล่าวว่า กทม. ควรจัดหาพื้นที่รับน้ำให้ได้มากที่สุดในกรุงเทพฯ เพื่อหน่วงน้ำไว้ก่อนในช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก เพราะปัจจุบันน้ำไม่สามารถระบายผ่านระบบคูคลองและอุโมงค์ยักษ์ที่มีอยู่ได้ทัน แต่หากมีการมีพื้นที่เก็บน้ำใต้ถนนในเขตศูนย์กลางชุมชนชานเมือง การมีพื้นที่แก้มลิงหรือบึงรับน้ำในเขตกรุงเทพฯ ตอนเหนือและตะวันออก เช่น บางเขนและคู้บอน (ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่น้ำจะระบายลงสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในตอนล่าง) ก็จะช่วยหน่วงน้ำในช่วงฝนตกหนัก ไม่ให้ระบายมาสมทบกับปริมาณน้ำที่สะสมในเขตพื้นที่ชั้นในให้ท่วมน้อยลง ก่อนที่จะระบายสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
นอกจากนี้ วีระพันธุ์ ยังเสนอให้ กทม. จัดหาพื้นที่ช่องทางน้ำหลาก หรือ Flood Way หรือที่เรียกว่า ช่องทางผันน้ำ หรือ Flood Diversion โดยสามารถทำร่วมกับโครงการวงแหวนรอบที่ 3 ที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือกรุงเทพฯ ให้น้ำสามารถไหลลงผ่านรอบนอกของกรุงเทพฯ ทั้งในฝั่งตะวันตกและตะวันออก ลงสู่อ่าวไทยโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจำเป็นต้องรีบปรับแบบการก่อสร้างให้มีแนวคลองระบายน้ำคู่ขนานไปกับถนนวงแหวนด้วย หากสามารถทำ Flood Way ได้ตามแนวถนนวงแหวนรอบที่ 3 จะสามารถระบายน้ำได้ไม่ต่ำกว่า 800 – 1,000 ลบ. เมตร/วินาที ซึ่งจะช่วยระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ วีระพันธุ์ ยังได้ย้ำถึงปัญหาสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นทุกปี ทางแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวคือการทำแก้มลิงในทะเล โดยมี 4 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบ Thames Barrier ซึ่งเป็นการสร้างเขื่อนที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนสูง และมีระบบสูบเพื่อพร่องน้ำออกสู่อ่าวไทย เพื่อเตรียมรับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก ข้อดีคือ ใช้เวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 4-5 ปี ลงทุนหลักหมื่นล้านบาท 2) การสร้างแก้มลิงขนาดเล็กในทะเลตรงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นการกั้นน้ำทะเลหนุนตั้งแต่ปากแม่น้ำ และสามารถสูบน้ำออกจากเขื่อนเมื่อต้องการลดระดับน้ำบริเวณปากแม่น้ำเพื่อการพร่องน้ำไว้ล่วงหน้า ซี่งจะช่วยให้น้ำระบายลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น (Gravity flow)
3) การสร้างแก้มลิงขนาดเล็กขนานไปตามปริเวณชายฝั่งปากอ่าว ในทะเลตรงปากแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งซ้ายขวาของปากแม่น้ำ เพื่อรองรับน้ำที่ระบายจาก Flood Way ถนนวงแหวนรอบที่ 3 และใช้การสูบพร่องน้ำระบายออกจากพื้นที่แก้มลิงในทะเลทั้งสองฝั่ง เพื่อให้น้ำจากแนว Flood Way และน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาระบายสู่ทะเลได้เร็วยิ่งขึ้น วิธีนี้ใช้ระยะเวลาก่อสร้างและงบประมาณมากกว่า 2 วิธีแรก
4) การสร้างแก้มลิงขนาดใหญ่บริเวณก้นอ่าวไทย เพื่อรองรับน้ำที่ระบายจาก Flood Way ถนนวงแหวนรอบที่ 3 และใช้การสูบพร่องน้ำระบายออกจากพื้นที่แก้มลิงในทะเลทั้งสองฝั่ง วิธีการนี้จะป้องกันน้ำทะเลหนุนได้ และป้องกันชายฝั่งถูกกัดเซาะ รวมถึงการใช้แนวเขี่อนดังกล่าวเป็นเส้นทาง logistic เพื่อ bypass กทม. และใช้รองรับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจประมงชายฝั่งและเมืองแบบ green city ได้ด้วย แต่วิธีนี้ใช้เวลาการก่อสร้างและงบประมาณมากที่สุด
ทั้ง 4 กรณีนี้จะต้องมีการศึกษาในรายละเอียด เพื่อให้สามารถรักษา หรือ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมเดิมให้ได้มากที่สุด ไปพร้อมกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมใหม่ที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อมเดิม และมีประตูน้ำเปิดปิดให้เรือสามารถเข้าออกบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ในช่วงปกติ การศึกษาวิจัยดังกล่าว หากได้รับทุนเบื้องต้น (Seed Fund) จาก กทม. หรือได้รับการผลักดันเป็นนโยบายของรัฐบาล ก็จะเป็นการดีต่อสถานการณ์ระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในระยะยาว
ด้าน ชวลักษณ์ เวียงวิเศษ ตัวแทนจากเพจบึงรับน้ำคู้บอนเพื่อคนกรุงเทพ เสนอว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ประกอบด้วยเขตคลองสามวา คันนายาว สายไหม มีนบุรี และลาดกระบัง เป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือคันกันน้ำพระราชดำริ และยังไม่มีระบบป้องกันน้ำท่วม ในขณะที่กรุงเทพฯ มีการขยายตัวไปทางฝั่งตะวันออกมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่แก้มลิงเพื่อหน่วงน้ำจากทางเหนือไว้ก่อนเพื่อลดปัญน้ำท่วมในฝั่งตะวันออกและป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นใน
โดยสำนักการระบายน้ำได้ทำการสำรวจโครงการบึงรับน้ำทั้ง 6 โครงการภายหลังมหาอุทกภัยปี 2554 และต่อมาได้ทำการประชาพิจารณ์ร่วมกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในปี 2560 ปรากฏว่า โครงการบึงรับน้ำบริเวณคลองคู้บอน เขตคลองสามวา และโครงการบึงรับน้ำบริเวณคลองบางชัน เขตมีนบุรี ไม่มีประชาชนคัดค้าน ซึ่งกรุงเทพมหานครสามารถจัดทำโครงการบึงรับน้ำทั้งสองแห่งนี้ได้ทันที จะเป็นการลดปัญหาน้ำท่วมให้แก่ประชาชนที่อยู่อาศัยในสองเขตนี้อย่างมาก ดังเช่น โครงการบึงรับน้ำหนองบอนซึ่งเป็นโครงการแก้มลิงตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 ที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เขตประเวศ สวนหลวงและพระโขนง โดยใช้เวลา 1-2 วันในการระบายน้ำจากพื้นที่ จากเดิมซึ่งใช้เวลานานเป็นสัปดาห์
รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานค แสดงความสนใจในโครงการแก้มลิงในทะเล แต่มองว่าอาจอยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร แต่กรุงเทพมหานครได้รับพื้นที่ที่เอกชนบริจาคมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดทำเป็นพื้นที่รับน้ำ ในส่วนโครงการบึงรับน้ำบริเวณคลองคู้บอน เขตคลองสามวา และโครงการบึงรับน้ำบริเวณคลองบางชัน เขตมีนบุรี ขอเวลาประมาณ 2-3 เดือน เพื่อติดตามการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน หรืออีกแนวทางหนึ่งอาจมีการนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดอง เพื่อเจรจากับเจ้าของที่ดินเดิมในการจัดสร้างโครงการบึงรับน้ำทั้งสองแห่งเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป