ผอ. IHRI จี้รัฐระบุให้ชัด คนไม่มีอาการหรืออาการน้อยไม่ต้องเข้าสู่ระบบรักษา “สปสช.” ปัดถังแตกเหตุปรับจาก HI เป็น OPD แจงช่วยพาสังคมออกจากความรู้สึกกลัวโรค
17 มี.ค. 2565 เวทีสาธารณะ เท่าทันโรค เท่าเทียมกัน นับถอยหลังโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น โดย The Active ร่วมกับเครือข่ายคอมโควิด และภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสื่อสารการใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 อย่างเข้าใจ และสมดุล บนข้อมูลที่ถูกต้อง ที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กทม.
เสียงสะท้อนจากชุมชนหลายแห่งที่เข้าร่วม เวทีสาธารณะในครั้งนี้ ถ่ายทอดประสบการณ์การรับมือกับ โควิด-19 ในการระบาดทุกรอบที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น โดยพบว่าหลายคนยังคงมีความกังวล หวาดกลัว ทำให้การปฏิบัติตัวมีความสับสน ยกตัวอย่างเช่นกรณี เจอ แจก จบ ให้ผู้ติดเชื้อเดินทางไปที่โรงพยาบาลเอง และให้กลับมากักตัวที่บ้าน ในขณะที่ยังห้ามออกไปภายนอก ซึ่งสร้างความลำบากต่อการใช้ชีวิตเพราะไม่มีการส่งข้าวส่งน้ำ
แพทย์หญิง นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี(IHRI) กล่าวว่า ปัจจุบันการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ก่อโรครุนแรงน้อยลง ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการหรือมีไข้เพียงวันเดียว ต่างจากสายพันธุ์เดิมที่เชื้อมักจะเข้าไปที่ระบบหายใจส่วนล่างหรือเข้าไปถึงปอด แต่เชื้อปัจจุบันอยู่ที่ระบบหายใจส่วนบน มักจะเกิดอาการรุนแรงกับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น ขณะที่ภูมิคุ้มกันของประชากรในประเทศเพิ่มมากขึ้นจากทั้งสัดส่วนการฉีดวัคซีน และจำนวนผู้ติดเชื้อ
แพทย์หญิง นิตยา กล่าวอีกว่า รัฐต้องออกมาพูดให้ชัดว่า คนที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว เพราะสามารถรักษาตัวเองได้ในขณะเดียวกันคงต้องเลิกตรวจหาเชื้อ เมื่อจะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น
“การตรวจแล้วลบแปลว่าไม่ติดเชื้อนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด และการเป็นโรคประจำถิ่น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการระบาด แต่การระบาดไม่เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุข เราจะไปหาเคสที่ไม่ต้องเข้าระบบ เพื่ออะไรจะสิ้นเปลืองไปถึงไหน ที่ผ่านมาเราตอกย้ำว่า ATK เป็นสิ่งพิเศษที่ทำให้ตัวเองปลอดภัย”
ด้าน ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่าตั้งแต่การระบาดตั้งแต่ 1 เมษายนปี 2564 มีหน่วยบริการเบิกเงิน ค่ารักษามาแล้ว 2.1 แสนล้านบาท ในขณะที่จ่ายไปแล้ว 1.3 แสนล้านบาท หรือจ่ายไป 60% ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินที่รัฐบาลกู้มา lสำหรับการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนนั้นยอมรับว่าลดต้องค่าใช้จ่ายลงไปจากเชื้อที่ลดความรุนแรงลง
ที่ผ่านมา สปสช. แบกความคาดหวังของประชาชน ผู้ติดเชื้อที่วิ่งเข้าสู่ระบบอย่างน้อยต้องโทรหา 1330 ในช่วงพีคที่ มีผู้โทรเข้ามา 7-8 หมื่นสาย/วัน ไม่สามารถจะรับได้หมด นำมาสู่การปรับไปเป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก หรือ เจอ แจก จบเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมาและขอยืนยันว่าการปรับแนวทางการรักษา เป็นเหตุผลทางการแพทย์ ไม่ใช่เหตุผลเรื่องงบประมาณ ที่ขาดแคลนหรือไม่เพียงพอ
“รัฐบาลไม่มีเงินหรือเปล่า จึงเริ่มเปลี่ยนระบบจาก hi มีส่งข้าวส่งน้ำ เป็น OPD อยากให้เข้าใจว่าตอนนี้เรามีแนวคิดเปลี่ยนผ่านจากโรคระบาดร้ายแรง เป็นโรคประจำถิ่น การปรับแนวทางการรักษาจะช่วย พาสังคมออกจากความรู้สึกว่าโรคมันรุนแรงไปในตัว”
ขณะที่นางอารี คุ้มทรัพย์ ตัวแทนเครือข่ายคอมโควิด บอกว่าอยากให้รัฐบาลพูดให้ชัด เรื่องแนวทางการกักตัวที่อาจต้องเลิกใช้แนวทางนี้ เปลี่ยนเป็นการแยกตัวเอง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถดูแลตัวเองได้ ออกไปซื้อยา ซื้ออาหารเองได้ ด้วยการป้องกันตัวเอง และต้องสร้างความเชื่อใหม่ว่า อยากฝากความปลอดภัยไว้กับคนอื่น
“ภาพความจำเรื่องความกลัวมันฝังลึกแต่ระลอกแรก การป้องกันที่เกินความจำเป็น ทำให้เกิดความกลัว มาตรการที่ยังเข้มข้นมากเกินเหตุ เป็นอุปสรรค์ต่อการเข้าสู่โรคประจำถิ่น เราต้องหยุดการตีตราผู้ติดเชื้อ จากองค์ความรู้ทั้งหมดพิสูจน์แล้วว่าเราอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้”
ข้อเสนอหลายอย่างที่ดูก้าวหน้าไปมากนั้น นายแพทย์ เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กล่าวว่าบางข้อเสนอยังต้องรอการรีวิวทบทวนจากผู้เชียวชาญหลายคน จะเร็วหรือช้า ที่จะทำแบบนั้นบางข้อเสนออาจทำได้เลย หรือบางข้อเสนออาจต้องรออีก 4 เดือนไปพร้อมๆกับการประกาศเป็นโรคประจำถิ่นของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ชื่นชมความเข้มแข็งของชุมชนในการปรับตัว อาศัยความรู้ความเข้าใจ ลดความกลัวเพื่อเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น
สรุปข้อเสนอเครือข่ายคอมโควิด
เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดอย่างเข้าใจและปลอดภัย กับการเตรียมความพร้อมเมื่อโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เครือข่ายคอมโควิด ระบุว่าสถานการณ์ของ “ตัวโรค” เปลี่ยน แต่ความกลัวความไม่เข้าใจของคนส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยน การทำให้รู้สึกกลัวโควิดทั้งจาก สื่อและมาตรการต่างๆของรัฐ ตอกย้ำความไม่เข้าใจ นำไปสู่การรังเกียจ กีดกัน ผู้ติดเชื้อและครอบครัว ความไม่เข้าใจเรื่องการดูแลรักษา นำไปสู่การเข้าใช้บริการในระบบสุขภาพที่เกินความจำเป็นสร้างผลกระทบทั้งต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ
โควิด 19 เป็นโรคติดต่อได้ในระบบทางเดินหายใจ โอกาสที่จะรับเชื้อหรือส่งเชื้อ คือ การอยู่ใกล้ชิดกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย การป้องกันที่ถูกต้อง และเพียงพอในการป้องกันโควิด คือ
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าถอดหน้ากากให้อยู่ห่างกัน 2 เมตร
- การได้รับฉีดวัคซีนครบจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อและลดการแพร่เชื้อ
- การล้างมือ เพราะมืออาจสัมผัสเชื้อ แล้วมาจับบริเวณใบหน้า
การป้องกันที่เกินความจำเป็น ควรยกเลิกหรือไม่ควรทำ
- การฉีดพ่นน้ำยา ตามสถานที่ต่างๆ หรือตามร่างกาย เพราะไม่มีประโยชน์ (เอกสารแนบ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย)
- การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง (ชุด PPE) ที่เกินความจำเป็น ในกิจกรรมบริการที่มีความเสี่ยงในการรับเชื้อน้อย เช่น การเคลื่อนย้ายศพ การเคลื่อนย้าย/รับส่งผู้ป่วย การเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน/ชุมชน การให้บริการตรวจ ATK ในชุมชนซึ่งส่วนใหญ่ทำในที่โล่ง การให้บริการฉีดวัคซีนโควิด
- การจัดการศพของผู้เสียชีวิตจากโควิด เช่น การใส่ถุงเก็บศพ ห้ามเปิดถุง ห้ามอาบน้ำศพ ฯลฯ ทำให้ศพของผู้เสียชีวิต ไม่ได้รับการจัดการตามความเชื่อทางศาสนา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่ศพจะแพร่เชื้อโควิดมีน้อยมาก
- การให้พนักงาน หรือผู้ใช้บริการ ในห้องอาหารของโรงแรม ในเครื่องบินฯลฯ ต้องสวมถุงมือ เพราะเชื้อไม่ได้เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง และการสวมถุงมือทำให้คนละเลยการล้างมือ
- สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆของผู้ติดเชื้อโควิด ถูกจัดว่าเป็นขยะติดเชื้อ ต้องทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือแยกทิ้ง แยกกำจัด
การป้องกันที่เกินความจำเป็นดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนเห็นได้ทั่วไป และเห็นผ่านทางสื่อต่างๆ ทำให้ตอกย้ำความเข้าใจผิดและทำตามกัน โดยไม่ได้เข้าใจว่าเชื้อโควิดติดต่อทางไหน ติดต่ออย่างไร ผลกระทบที่สำคัญ “ความกลัว” นำไปสู่การรังเกียจ กีดกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนสังคม
การตรวจ ATK แบบสมเหตุผล ไม่สิ้นเปลือง ไม่เป็นภาระงบประมาณ ไม่สร้างขยะ แต่ทำให้คนที่ติดเชื้อโควิดได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม
คนที่ควรตรวจ ATK
- ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง* และเป็นผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว หรือเป็นหญิงตั้งครรภ์ เป็นเด็กเล็ก
- ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่มีอาการของโควิด
* สัมผัสเสี่ยงสูง หมายถึง อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิดโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
คนที่สัมผัสเสี่ยงสูงแต่ไม่ได้อยู่ใน 2 ข้อดังกล่าว ยังไม่จำเป็นต้องตรวจ ATK เหตุผลเพราะ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นบวก หรือ ลบ การดูแลหรือการปฏิบัติตัวไม่มีความแตกต่างกัน คือ ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใดๆ สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ การสวมหน้ากากอนามัย การแยกตัวจากคนอื่น และการสังเกตอาการตัวเอง
การตรวจ ATK มีประโยชน์ ในคนที่สัมผัสเสี่ยงสูงและถ้าติดเชื้อจำเป็นต้องได้รับการรักษา
การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็น ไม่สมเหตุผล ควรยกเลิก หรือหยุดทำ
- การตรวจเด็กที่จะไปโรงเรียน /ไปสอบ
- การให้พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ ตรวจเป็นประจำ
- การตรวจก่อนเข้าใช้ ห้องประชุม สำนักงาน/อาคาร หรือเข้าพื้นที่
- การให้ผู้ติดเชื้อตรวจซ้ำเพื่อเป็นการยืนยันว่าหายแล้ว
- การตรวจแบบไม่มีข้อบ่งชี้ ตรวจเพราะกังวล
การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็น ไม่สมเหตุผล ดังกล่าวไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้ใครปลอดภัย เพราะ ATK ไม่ใช่เครื่องมือในการป้องกัน ATK เป็นลบไม่ได้เท่ากับไม่ติดเชื้ออยู่ การป้องกันโควิดที่ถูกต้อง คือการสวมหน้ากากอนามัย การรับวัคซีน การจัดสิ่งแวดล้อมให้อากาศถ่ายเท ในกรณีที่ต้องอยู่แบบแออัด
“การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็นมีสาเหตุมาจากความกลัว กลายเป็นเครื่องมือในการกีดกัน เลือกปฏิบัติ สร้างความแตกแยกของคนในชุมชนสังคม”
การดูแลตนเองและการเข้ารับบริการในระบบสาธารณสุข ของผู้ติดเชื้อโควิด
ระบบการรักษาในปัจจุบัน คือ ให้ผู้ติดเชื้อที่เป็นสีเขียวไปรับบริการแบบผู้ป่วยนอกตามสิทธิการรักษา ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากไปโรงพยาบาล โดยคาดหวังจะได้รับการรักษา ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้ให้บริการ ทั้งในด้านจำนวนผู้ป่วยที่มากเกินที่ระบบจะรับมือได้ และความคาดหวังของผู้ติดเชื้อโควิดที่จะต้องได้รับยาต้านไวรัส และต้องเข้านอนในโรงพยาบาล ซึ่งไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้โควิดในปัจจุบัน
แนวทางการลดผลกระทบ และสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย
- ตรวจ ATK เมื่อสัมผัสเสี่ยงสูงและมีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง* หรือเมื่อมีอาการของโควิด เท่านั้น
- สื่อสารทำความเข้าใจว่า คนที่ติดเชื้อโควิดและไม่มีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง สามารถหายจากการติดเชื้อได้เองภายใน10 วัน นับไปจากวันที่เริ่มมีอาการ โดยไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัสใดๆ
- คนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนนึกถึงการไปโรงพยาบาลคือ
– ประเมินตนเองว่ามีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรงหรือไม่ ถ้าใช่ เข้าระบบการรักษาแบบ HI ซึ่งเป็นบริการแบบ Virtual Hospital หรือไปรพ. ตามความเร่งด่วนของอาการ
– กรณีไม่มีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง* สามารถดูแลเบื้องต้นตามอาการ สังเกตอาการ ถ้า 3- 4 วัน อาการไม่ดีขึ้น เช่น ยังมีไข้สูง จึงไปโรงพยาบาลตามสิทธิ - ยกเลิกการที่ผู้ติดเชื้อโควิดต้องกักตัว ปรับเป็นการแยกตัว หมายถึงสามารถออกจากบ้าน ออกไปทำงาน ไปหาซื้ออาหาร ฯลฯ โดยต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดคนอื่น ถ้าถอดหน้ากากให้เว้นระยะอย่างน้อย 2 เมตรจากคนอื่น
- ยกเลิกการห้ามผู้ติดเชื้อโควิดใช้บริการขนส่งสาธารณะ เนื่องจากในการใช้บริการขนส่งสาธารณะทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย ลดการพูดคุย ลดการกินอาหารในการใช้บริการอยู่แล้ว
* ปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง หมายถึง 1) อายุเกิน 60 ปี 2) มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง โรคอ้วนโรคไตเรื้อรัง มะเร็งระยะรักษา โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคตับแข็ง ภูมิคุ้มกันต่ำ (เม็ดเลือดขาว< 1000) 3) หญิงตั้งครรภ์ 4) เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะประกาศว่า “โควิดเป็นโรคประจำถิ่น” แต่หากคนยังคงไม่เข้าใจกลัวการอยู่ร่วมกับโควิด คงเป็นเรื่องที่สวนความรู้สึก และสร้างความสับสน ดังนั้นการหยุดการกระทำหรือยกเลิกรกมาตรการ ที่สร้างความกลัว ความเข้าใจผิด ควบคู่กับการสร้างความมั่นใจว่าสามารถใช้ชีวิตร่วมกับโควิดได้เป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งทำความเข้าใจกับบุคคลากร และทำให้เกิดแนวทางการปฏิบัติเป็นต้นแบบที่ถูกต้องกับคนในชุมชนสังคม