วงประชุมวิชาการนานาชาติด้านสมาธิ เปิดแนวคิด งานวิจัย ประสบการณ์ หวังใช้ทรัพยากรทางจิตวิญญาณ ดึงทั่วโลกใช้สติ สมาธิ ดำเนินชีวิต ประยุกต์สู่การดูแลสุขภาพกาย รักษาบาดแผลทางใจ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ The Active มีโอกาสร่วมติดตามการประชุมเชิงวิชาการระดับนานาชาติด้านสมาธิ ประจำปี 2568 ภายในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ สติ และสมาธิ” (Bhutan Meditation Conference: Science Mindfulness and Meditation) โดยศูนย์ภูฏานและการศึกษาความสุขมวลรวมประชาชาติ (Centre for Bhutan & GNH Studies) ณ กรุงทิมพู ประเทศภูฏาน
ภายในงาน มีทั้งการนำเสนอแนวคิด และงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และสังคมศาสตร์ รวมถึงการถ่ายทอดประสบการณ์จากนักปฏิบัติจริงจากทั่วโลก

โดยเนื้อหาการนำเสนอภายในงาน สอดคล้องกับสิ่งที่โลกสมัยใหม่หันมาตั้งคำถามถึงศาสนา ที่กำลังอยู่ท่ามกลางการปะทะกันของแนวคิดด้านต่าง ๆ แบ่งได้ ดังนี้
1. ประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscientific)
โดยนำเสนอการศึกษาวิจัยทำสมาธิและฝึกสติ ที่อาจมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงภายในสมองมนุษย์ (Neuroplasticity) ที่นำไปสู่การตอบสนองของร่างกายที่สร้างคลื่นสมองแห่งความสุข (ลดความเครียด ผ่อนคลาย) ผ่านการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) การวัดการทำงานของสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (fMRI) และ ข้อมูลทางชีวภาพ (biometric) โดยมีนักบวชและนักปฏิบัติร่วมแบ่งปัน
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเชิงลึก ถึงผลจากการทำสมาธิแบบจักระ และการสวดมนต์ (มันตรา) ที่มีผลกระทบต่อสมองและร่างกาย โดยใช้หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific analysis of chakra and mantra meditation) และการศึกษา “การหายใจแบบไฟภายใน และสมาธิ” (Inner fire breathing and meditation) ที่ว่าด้วยเทคนิคการควบคุมลมหายใจที่ส่งผลต่อการกระตุ้นสมองและร่างกาย
อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอว่า การฝึกอบรมทางจิต (mental training) เช่น การทำสมาธิ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสมองของผู้ฝึกให้เกิดความเมตตา และทักษะความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงภายในจากการทำสมาธิจึงไม่ใช่เพียงเรื่องปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับสังคมด้วย
2. โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
การนำเสนอถึงความสัมพันธ์ของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ที่กระทำต่อจิตสำนึกของมนุษย์ ผ่านการฝึกจิต ทำสมาธิ โดยมีการเปิดประเด็นไว้ว่า หากความสามารถของ AI ดำเนินมาถึงจุดที่สามารถเข้าใจและจำลองกระบวนการภายในจิตใจของมนุษย์ได้ลึกซึ้งมากพอ AI อาจกลายเป็นผู้ร่วมเดินทางทางจิตวิญญาณ (spiritual journey) ไปพร้อมกับมนุษย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การตื่นรู้ (Awakening) และการตระหนักรู้ (Realization) ได้ในที่สุด

นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์ผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย ที่ทราบกันดีว่าอาจนำไปสู่ความโดดเดี่ยวและตัดขาดทางสังคม แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว สิ่งนี้อาจกลายเป็นโอกาสในการตื่นรู้และกลับมาเชื่อมโยงกับตัวเองอีกครั้งก็เป็นได้
3. จิตวิทยา และการบำบัดรักษาโรค
การศึกษาถึงการเครื่องมือทางจิตวิญญาณเพื่อดูแลจิตใจ เยียวยา และนำไปสู่การพัฒนาตนเอง เช่น การใช้ สติ (mindfulness) เป็นเครื่องมือใช้จัดการความยากลำบากทางใจ เปลี่ยนความทุกข์เป็นพลังแห่งการเติบโตและสร้างความงอกงามให้ชีวิต หรือแม้กระทั่งปรับใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในห้องเรียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ทั้งกับครูและนักเรียน และยังสามารถใช้สมาธิเพื่อเชื่อมโยงตัวตนเข้ากับสิ่งแวดล้อม ฟื้นคืนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติให้กลับมา connect กันได้อีกครั้งด้วย
ในแง่ของทางการแพทย์ มีการศึกษาถึงการใช้สติและสมาธิเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดรักษาโรค เช่น การศึกษาถึง โซวะ ริกปะ (Sowa Rigpa) การแพทย์แผนโบราณทิเบต ที่ผสมผสานองค์ความรู้ดั้งเดิมเข้ากับแพทย์สมัยใหม่เพื่อกการเยียวยาร่างกายและจิตใจ
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเรื่องสติ-สมาธิผ่านมุมมองแบบ “ชีววิญญาณ” (bio-spiritual) หนึ่งในศาสตร์การการคำปรึกษาทางจิตวิญญาณ (Spiritual direction) ที่ใช้เน้นการดูแลรักษาทั้งทางร่างกาย และจิตวิญญาณ มีการใช้การภาวนา เจริญสติ เพื่อการบำบัดทางจิต (Psychotherapy) เพื่อเยียวยาจากบาดแผลทางอารมณ์หรือจิตใจด้วย
5. ประสบการณ์และเรื่องเล่าจากนักปฏิบัติ
ขณะเดียวกันยังแลกเปลี่ยนหลักการ แนวทาง และวิถีปฏิบัติจากนักบวชและนักปฏิบัติจริงจำนวนมาก ที่ร่วมกันถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์แห่งการตื่นรู้ในหลายมุมมองจากต่างวัฒนธรรม เช่น การใช้ศิลปะในการควบคุมลมหายใจและจิตใจ รวมถึงการใช้เสียง สี และพิธีกรรมในการปลุกพลังเพื่อนำไปสู่การตื่นรู้

(Centre for Bhutan Studies and GNH Research, CBS)
ดาโช การ์มา อูรา (Dasho Karma Ura) ประธานศูนย์ศึกษาภูฏานและการวิจัยความสุขมวลรวมประชาชาติ (Centre for Bhutan Studies and GNH Research, CBS) บอกกับ The Active ถึงแนวคิดเบื้องหลังของการจัดงานครั้งนี้ ว่า โดยปกติแล้ว งานประชุมนี้จะเกิดขึ้นทุก 2 – 3 ปี โดยหัวข้อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสถานการณ์ของโลก และในปีนี้ เลือกธีมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากกำลังเป็นเรื่องท้าทายของผู้คนทั่วโลก
“ตอนนี้ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเทคโนโลยีที่ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป และโดยเฉพาะในประเทศภูฏาน จากเดิมที่การทำสมาธิเป็นหนึ่งในวิถีปฏิบัติประจำวัน ตอนนี้กลับเริ่มถูกหลงลืมไป โดยเฉพาะคนวัยทำงาน หรือวัยหนุ่มสาวเริ่มใช้เวลาบนหน้าจอมากขึ้น ทั้งที่ควรจะใช้เวลาไปกับการทำสมาธิ ซึ่งควรจะทำอย่างน้อยวันละ 30 นาที”
ดาโช การ์มา อูรา
ประธานศูนย์ศึกษาภูฏานฯ เสริมอีกว่า ภูฏานมีทรัพยากรทางจิตวิญญาณอยู่มาก ทั้งนักปฏิบัติ วัด หรือสถานที่สำหรับปลีกวิเวก จึงอยากแบ่งปันทรัพยากรที่สำคัญนี้ให้กับคนทั่วโลกด้วย
อะมาเลีย รูบิน (Amalia Rubin) นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยลีดส์ สหราชอาณาจักร และหนึ่งในผู้ร่วมนำเสนอผลงานวิจัย เปิดเผยกับ The Active ว่า ตนเองเป็นผู้มีความสนใจด้านศาสนา โดยเฉพาะแนวคิดแบบวัชรยาน (Vajrayana) ของทิเบตที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในโลกสมัยใหม่

เนื่องจากในอดีต แนวคิดแบบวัชรยานจะเน้นฝึกปฏิบัติและการถ่ายทอดความรู้ผ่านครูเป็นหลัก ต่างจากแนวคิดแบบโปรเตสแตนท์ (Protestant) ที่เน้นการเข้าถึงโดยเสรี แต่การมาถึงของโซเชียลมีเดีย จึงเปรียบเสมือน “ตัวเร่ง” (catalyst) ที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้นซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างดั้งเดิมของวัชรยาน จึงเป็นหนึ่งในความท้าทายของศาสนากับโลกสมัยใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้
อะมาเลีย เล่าว่า เนื่องจากเรื่องที่ตนเองสนใจศึกษา ไม่ใช่เรื่องที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญนัก การจัดงานประชุมวิชาการนี้จึงมีความสำคัญมากในฐานะเป็นพื้นที่ในการถกเถียง แลกเปลี่ยนเรื่องนี้จากผู้ที่สนใจทั่วโลก
“แม้หัวข้อเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้ามในการพูดคุย แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับไม่ได้มีคนจำนวนมากนักที่อยากฟังเรื่องนี้ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ในการถกเถียงและแลกเปลี่ยความคิดเห็นก็แทบไม่มี งานประชุมนี้จึงสำคัญมาก เพราะเป็นเวทีเพียงไม่กี่แห่งทั่วโลกที่เปิดโอกาสให้เราได้คุยกันอย่างเปิดเผยถึงหัวข้อที่ลึกซึ้ง และท้าทายความคิดกันอย่างสร้างสรรค์”
อะมาเลีย รูบิน
ด้าน พระมหาหรรษา ธมฺมหาโสม หาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หนึ่งในผู้ร่วมนำเสนองานวิจัยชาวไทย ชี้ว่า การจัดงานประชุมนานาชาติที่ประเทศภูฏานในครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้องค์ความรู้ด้านพระพุทธศาสนาได้ถูกนำมาพูดคุย แลกเปลี่ยน กันอย่างเป็นทางการ
“งานประชุมที่ประเทศภูฏานในครั้งนี้เป็นเหมือนปากประตูที่จะทำให้ผู้สนใจทางศาสนาเราก้าวเข้าไปพบกัน โดยเฉพาะสำหรับไทย ที่ก้าวเข้าไปรู้จักกับวัชรยานของทางภูฏานในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคสมัยดิจิทัล”

หาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระอาจารย์หรรษา ยังย้ำอีกว่า ธีมงานในครั้งนี้ คือการผนวกเรื่องของศาสนาที่ต้องปะทะกับโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่ และคงปฏิเสธการเข้ามาถึงของ AI และโซเชียลมีเดียไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“ตอนนี้ สังคมเราเป็นยุคดิจิทัล โลกภายนอกกำลังทะลุเข้าสู่กำแพงวัดผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้พระกระทำความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น แต่กระนั้นเราก็ไม่ควรปฏิเสธเทคโนโลยี เช่น AI ที่เป็นสิ่งสามารถส่งเสริมและสนับสนุนมนุษย์ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ฉะนั้น การจะเข้าถึงความจริงสูงสุดได้นั้น ท้ายที่สุดแล้ว คนผู้นั้นย่อมต้องมีวิถีปฏิบัติด้วยตนเอง”
ขณะที่ ธีระพล สุทธินันท์ นักศึกษปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยนาลันทา ประเทศอินเดีย คืออีกหนึ่งในผู้ร่วมงานชาวไทย ในเวทีโลกครั้งนี้ บอกว่า ตนเองมีความตั้งใจในการมาร่วมงานครั้งนี้อย่างยิ่ง เนื่องจากมีความสนใจด้านพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งตั้งแต่เด็ก การมาเวทีแห่งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวคิดทางวิชาการที่แตกต่างหลากหลายทั่วโลก

“เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าการทำสมาธิเป็นแค่การนั่งหลับตา หรือเดินจงกรม แต่ที่นี่ทำให้เราเห็นว่าการทำสมาธิมีได้หลายรูปแบบมาก ทั้งการทำสมาธิแนวโซเฟีย แบบมหาวุทรา หรือแบบคริสเตียน ฮินดู โยคะ ที่แตกต่างกันออกไป หรือแม้กระทั่งใช้ภาพวาด หรือการทำงานศิลปะ”
ธีระพล สุทธินันท์
นอกจากได้แลกเปลี่ยนความรู้ฃทางวิชาการและสานสัมพันธ์กับผู้คนทั่วโลกแล้ว ธีระพล ย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือการนำความรู้เหล่านี้มาพัฒนาตนเอง และส่งต่อให้กับผู้คน
“ประเทศไทยเป็นพุทธเถรวาทก็จริง แต่เรามีจุดเด่นคือเปิดรับวิถีที่หลากหลาย องค์ความรู้ทางวิชาการในงานประชุมนี้ทำให้เราเปิดใจรับแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะนำไปแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเพื่อนชาวไทย เพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาตนเอง และสังคมต่อไป”
ธีระพล สุทธินันท์

ท้ายที่สุดแล้ว ดาโช การ์มา อูรา ประธานศูนย์ศึกษาภูฏานฯ เชื่อว่า เนื้อหาและองค์ความรู้จากทั่วโลกที่ได้จากงานประชุมในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้คน ที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจด้านกับศาสนา จิตวิญญาณ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพได้ ทั้งร่างกาย จิตใจ โดยเฉพาะการลดความเครียด หรือบาดแผลทางใจ ที่เกิดขึ้นมากในยุคสมัยปัจจุบันนี้ได้ ไม่มากก็น้อย