สภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอ คอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลวิชาการแบบผิด ๆ ต้องรับผิดชอบมากว่าแค่ขอโทษ ผลักดันระเบียบจริยธรรม ที่มีบทลงโทษชัดเจน
กลายเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กับดรามาของ “อินฟลูเอนเซอร์” บุคคลที่มีผู้ติดตามทางออนไลน์จำนวนมาก ล่าสุดอินฟลูจิ๋ว น้องโมเน่ ลูกสาวแฝดผู้พี่ทายาทของ เมย์ พรีมายา โพสต์แจ้งว่า “เจ้าหน้าที่ติ๊กต็อกโทรหาแม่บอกเด็กห้ามขายของ” เรื่องนี้ถูกตั้งคำถามว่าการให้เด็กถือโปรดักต์สินค้า” ทำได้หรือไม่
อีกประเด็นเป็นคลิปของ หมอมุก – พญ.มุกดาภิวัฒน์ หาญเมฆินทร์ ที่ออกมาชี้แจงดรามา เรื่องการลองใส่ชุด POEM มียอดคนดูหลักหลายล้าน สะท้อนถึงการเข้าถึงผู้คนในสังคม
และที่ไม่ปล่อยให้สังคมรอนานสำหรับ วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรชื่อดัง เชิญเหล่านักวิชาการตัวจริงในอุสาหกรรมนมวัวไทย ร่วมให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง หลังคลิปก่อนหน้านี้ที่มีการเชิญอินฟูลเอนเซอร์มาพูดคุยกันในรายการ เกิดเป็นดรามา ปล่อยตัวอย่างไม่ทันข้ามคืน แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ทั้งคนในโลกออนไลน์ นักวิชาการ ระบุว่า คอนเทนต์ดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และความตื่นตระหนกในหมู่ผู้บริโภค เกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมไทย
ทั้งนี้ในโลกออนไลน์ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการให้อินฟลูเอนเซอร์ หรือบุคคลที่มือชื่อเสียง มาให้ความรู้ด้านโภชนาการ ยา หรือสารบำรุงร่างกายรูปแบบต่าง ๆ ว่าควรมีระเบียบหรือกฎหมายควบคุมที่เข้มงวดกว่านี้หรือไม่ เนื่องจากหากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงอาจนำไปสู่การให้ข้อมูลผิด ๆ สร้างให้เกิดความตระหนก หรือหลงเชื่อซื้อมาบริโภค อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพหรือเสียชีวิตอย่างหลายกรณีที่เคยเป็นข่าว ท่ามกลางอุตสาหกรรม คอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย หรือ อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ สร้างรายได้ให้คนไทย กว่า 9 ล้านคน มูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปี

โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ข้อมูลกับ The Active ระบุ ชื่นชมกรณีของวู้ดดี้ เมื่อถูกทักท้วงการให้ข้อมูลผิดพลาดก็ออกมาขอโทษสังคม พร้อมแก้ไขคลิปให้มีความรอบด้าน ครบถ้วน ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยในวงการอินฟลูเอนเซอร์ไทย
เมื่อถามถึงกฎหมาย หรือมาตรฐานในเชิงป้องกัน โสภณ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีกฎหมายกลางสำหรับเอาผิด กรณี เข้าข่ายโฆษณาอันเป็นเท็จ อย่างน้อย 3 ฉบับ เช่น
- พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับสูงสุด 30,000 บาท
- พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
- พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2560 กรณีนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ (ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน) จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้กับอินฟลูเอนเซอร์ยังมีข้อจำกัด โดยมักจบลงด้วยการขอโทษ หากไม่มีผู้เสียหายจำนวนมากหรือการฟ้องร้องตามมา กรณีรายการ วู้ดดี้ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่ายกฎหมายคอมพิวเตอร์ เนื่องจากทำให้ประชาชนตื่นตระหนกเรื่องการดื่มนมวัว
“กรณีที่นี้เป็นการพูดคุยไม่ใช่โฆษณา ดังนั้นกฎหมายอาจไปไม่ถึง แต่ข้อมูลที่เป็นเท็จ พ.ร.บคอมพิวเตอร์ฯ เกี่ยวแน่นอน แต่ต้องมีผู้เสียหายไปแจ้งความ นี่เป็นเหตุที่ทำให้เวลามีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง อาจไม่มีคนร้องเรียนนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมาย”
โสภณ หนูรัตน์
แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีการเอาผิดกับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าข่ายมีส่วนในการหลอกลวงผู้บริโภค ก่อนหน้านี้มีคดีตัวอย่าง เช่นที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ ตำรวจ ร่วมกันฟ้องดารา และอินฟลูเอนเซอร์ 13 คน จากการรีวิวอาหารเสริม ไม่มี อย. ซึ่งก็มีทั้งโทษปรับ และจำคุก เพราะพิจารณาสอบสวนแล้ว เห็นว่า คนกลุ่มนี้ต้องรับผิดชอบต่อสังคม เพราะทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าตามตัวเอง
ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายชัดเจน เพื่อแก้ไขช่องว่างดังกล่าว ที่ผ่านมาสภาองค์กรของผู้บริโภคพยายามผลักดันระเบียบจริยธรรมสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ คล้ายกับสภาวิชาชีพอื่น ๆ ที่มีบทลงโทษชัดเจน เช่น การเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพหรือปรับเงิน โดยไม่ต้องรอผู้เสียหายฟ้องร้อง
“จริยธรรมต้องเริ่มตั้งแต่รับงาน ออกรายการหรือขายสินค้าโฆษณารีวิว ต้องตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ ตัวสินค้าได้รับอนุญาตหรือไม่ การพูดแต่ละครั้งควรคิดเสมอว่าคำพูดมีราคา ต้องตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ถ้าเป็นเรื่องจริงถือว่าเตือนภัยสังคม แต่ถ้าไม่จริงจะมีคนที่เกิดความเสียหายตามมา”
โสภณ หนูรัตน์
ขณะที่ความท้าทายในการออกระเบียบด้านจริยธรรม คือการนิยาม “อินฟลูเอนเซอร์” ให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขายสินค้าหรือให้ความรู้ ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบจากคำพูดที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมากและสร้างความน่าเชื่อถือ การกำกับดูแลดังกล่าวจะช่วยให้อุตสาหกรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์เติบโตอย่างยั่งยืน โดยสมดุลระหว่างโอกาสทางเศรษฐกิจและการคุ้มครองผู้บริโภค
