จากกรณี แจ็ก แปปโฮ ที่ระบุตัวตนเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนไทย และมีผู้ติดตามจำนวนมาก เจอกระแสดรามาหลังถอดเสื้อ เต้นบนรถ หน้าร้านสะดวกซื้อชื่อดังที่ประเทศญี่ปุ่น จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม โดยมองว่าเป็นการทำลายภาพลักษณ์นักท่องเที่ยวไทย
สำหรับ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ บุคคลที่มีอิทธิพลทางโลกออนไลน์ บางคนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว แต่ก็อาจเป็นต้นเหตุของข้อมูลข่าวปลอม หรือไปจนถึงการชวนเชื่อ
เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ จึงมีความพยายามเสนอการใช้กฎหมายออกมากำกับดูแล หนึ่งในนั้นคือ ผศ.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยให้ข้อมูลกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค ว่า ประเทศไทยมีอินฟลูเอนเซอร์เยอะมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่ใช้สื่อออนไลน์อย่างแพร่หลาย การใช้อินฟลูฯ จึงเป็นการตลาดที่เข้าถึงคนไทยได้ง่าย และรวดเร็ว รวมถึงคอนเทนต์ที่มีความหลากหลาย และเกินจริง ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นข่าวว่าอินฟลูฯ ได้นําแนวคิด หรือความเชื่อบางอย่างที่หมิ่นเหม่ เช่น การลงทุนในการพนันออนไลน์, การดูแลสุขภาพแบบผิด ๆ, การชวนลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ หรือเรื่องความเชื่อทางศาสนา

ผศ.เอมผกา จึงเสนอ 5 แนวทาง ออกกฎหมายควบคุมอินฟลูเอนเซอร์ โดยหยิบยกบทเรียนประสบการณ์การบังคับใช้กฎหมายจากหลายประเทศ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทย แบ่งเป็น
- แนวทางที่ 1 ให้ข้อมูลว่าเป็นการโฆษณา : เป็นกฎหมายบังคับว่า อินฟลูเอนเซอร์ต้องแจ้งให้ชัดว่ารีวิวนั้นเป็นโฆษณา ซึ่งกลไกนี้จะถูกระบุอยู่ในกฎหมายทั้งในประเทศแถบเอเชียและยุโรป เช่น เกาหลีใต้ อินเดีย นิวซีแลนด์ แคนาดา โดยใส่แฮชแท็กระบุชัดเจนว่าเป็นโฆษณาไว้ตั้งแต่ต้นโพสต์หรือต้นคลิปวิดีโอ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่ารีวิวนั้นเป็นการโฆษณา
- แนวทางที่ 2 เปรียบอินฟลูเอนเซอร์ คือผู้ประกอบธุรกิจ : หลายประเทศมองว่าอินฟลูเอนเซอร์ คือ ผู้ประกอบธุรกิจ เพราะว่าอินฟลูเอนเซอร์ ทำคอนเทนต์แลกกับยอดวิวซึ่งยอดวิวก็นำมาสู่รายได้ เท่ากับเป็นผู้ประกอบธุรกิจ และในเชิงผู้ประกอบธุรกิจจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาบังคับใช้
- แนวทางที่ 3 เปิดเผยข้อมูล : ต้องเปิดเผยตัวตนที่ชัดเจน ที่สามารถเจาะจงไปได้ว่าคนนี้คือใคร เช่น นอร์เวย์ ออกกฎหมายกำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ต้องแจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาสินค้าบนโซเชียลมีเดียต่อหน่วยงานรัฐ
- แนวทางที่ 4 ควบคุมเนื้อหา : เป็นกลไกที่มองถึงการควบคุมเนื้อหาที่มีความอ่อนไหว หรือข้อมูลที่อาจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ เช่น ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ ต้องจดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตจากสภาสื่อแห่งชาติ (NMC) เพื่อป้องกันการโฆษณาที่ ผิดกฎหมาย และการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรืออันตรายต่อสาธารณะ

“ไม่ใช่ว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์แล้วต้องขอใบอนุญาต แต่จะเป็นเฉพาะคอนเทนต์เท่านั้นที่ต้องขอใบอนุญาต เช่น การเงินการธนาคาร การทำเสริมความงาม การรักษาโรค ต้องเป็นคนเฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้นที่จะพูดได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดเรื่องรักษาโรคได้ แต่ต้องเป็นหมอจริง ๆ เท่านั้น”
- แนวทางที่ 5 ทำแนวทางหรือข้อแนะนำ : ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการทำคู่มือแนะนำอินฟลูเอนเซอร์ สำหรับบางประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะออกกฎหมายรูปแบบไหน โดยทำเป็นคู่มือแนะนำไปก่อนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ ให้เรียนรู้ ตระหนัก จากกฎหมายที่มีในปัจจุบัน
มองบทบาทกฎหมายไทย กับความพยายามควบคุมอินฟลูเอนเซอร์
แม้ไทยยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน มีเพียงกฎหมายควบคุม เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแลการนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีร่าง พ.ร.บ.อาหาร ฉบับสภาผู้บริโภค ที่เพิ่มกำหนดนิยาม ให้ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งครอบคลุมถึงพรีเซนเตอร์ ที่ทำการโฆษณาอาหาร จะต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาด้วย
ผศ.เอมผกา ย้ำว่า หากประเทศไทยจะขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมกลุ่มอินฟลูฯ อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการกำกับดูแล ที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหา อาจต้องศึกษาจากตัวอย่างของกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมไทยด้วย
