โจทย์ท้าทาย ‘ภูเก็ต’ รถติด ขยะล้น ภัยพิบัติซ้ำซาก

เสียงจากภูเก็ตถึงเลือกตั้ง อบจ. ในวันที่โครงสร้างพื้นฐานตามไม่ทันการเติบโตของเมือง

19 ม.ค. 2568 Policy WatchThe Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสาธารณะครั้งที่ 2 ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อสื่อสารความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่น การกระจายอำนาจ และการใช้งบประมาณระดับท้องถิ่น พร้อมการเปิดพื้นที่ฟังเสียงสะท้อนความต้องการ และความคาดหวังต่อการเลือกตั้ง อบจ. ผ่าน “Policy Forum ครั้งที่ 28 : เลือก อบจ. เลือกอนาคตท้องถิ่น จ.ภูเก็ต”

“ภูเก็ต” เป็นจังหวัดสำคัญที่รัฐบาลตั้งเป้าผลักดันให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ การเมือง และการท่องเที่ยว แนวหน้าของประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 3,897 ล้านบาท ในปี 2566 ขยับเป็น 5,997 ล้านบาท ในปี 2567 และ 7,558 ล้านบาท ในปี 2568

องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณที่มาจาก 3 ส่วน ได้แก่ รัฐจัดสรร, เงินอุดหนุนจากรัฐ และส่วนที่จัดเก็บได้เอง ทำให้การเลือกตั้ง อบจ.ภูเก็ต จึงไม่ใช่แค่เรื่องท้องถิ่น แต่เกี่ยวโยงไปถึงการเมืองระดับประเทศด้วย

ถึง “ภูเก็ต” จะเล็ก แต่งบฯ อบจ. ไม่เล็กนะ

จากการรวบรวมข้อมูลรายรับจริงปี 2556 ที่ปรากฏในข้อบัญญัติงบประมาณปี 2568 ของ อบจ. ภาคใต้ สันติชัย อาภรณ์ศรี บรรณาธิการบริหาร Rocket Media Lab พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดที่มีงบประมาณ อบจ. มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาค รวมปีละ 1,478.56 ล้านบาท เป็นรองแค่ “สุราษฎร์ธานี”

โดย อบจ.ภูเก็ต หาเงินได้จาก

  1. ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ และใบอนุญาต 243.32 ล้านบาท (62.75%)
  2. รายได้จากทรัพย์สิน 92.89 ล้านบาท (23.84%)
  3. ภาษีอากร 48.71 ล้านบาท (12.58%)
  4. อื่น ๆ เช่น รายได้เบ็ดเตล็ด และ รายได้จากทุน 3.56 ล้านบาท (0.83%)

ทั้งนี้ อบจ.ภูเก็ต เก็บรายได้จาก “ค่าธรรมเนียมบำรุงท้องถิ่นจากโรงแรม” ได้สูงที่สุดในประเทศ อยู่ที่ 238.32 ล้านบาท ขณะที่ สุราษฎร์ธานี, ชลบุรี, เชียงใหม่ และกระบี่ เก็บได้ 68.04, 47.16, 46.42 และ 36.83 ล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่า อบจ.ภูเก็ตพึ่งพิงรายได้หลักจาก อัตราค่าการเข้าพักโรงแรม หรือการท่องเที่ยวก็ว่าได้

ส่วนการใช้จ่ายของ อบจ.ภาคใต้ บรรณาธิการบริหาร Rocket Media Lab เปิดเผยว่า สี่อันดับแรก แยกออกเป็น อุตสาหกรรมและโยธา 2,896 ล้านบาท (29.53%) บริหารงานทั่วไป 1,700 ล้านบาท (17.34%) สาธารณสุข 1,398 ล้านบาท (14.26%) และการศึกษา 1,228 ล้านบาท (12.53%)

ขณะที่ อบจ.ภูเก็ต เน้นการใช้จ่ายงบประมาณไปที่ สาธารณสุข 374 ล้านบาท (25.50%) การศึกษา 302 ล้านบาท (20.61%) บริหารงานทั่วไป 184 ล้านบาท (12.54%) และ ศาสนา วัฒนธรรม และนันทนาการ 152 ล้านบาท (10.40%) ซึ่งแตกต่างกับการใช้จ่ายของภูมิภาคอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเจาะจงไปที่งบฯ ก่อสร้างสาธารณูปโภค อบจ.ภูเก็ต ก็ใช้งบฯ แตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้เช่นเดียวกัน โดยเน้นไปที่ การก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างกว่า 238.91 ล้านบาท รองลงมาคือ การจัดทำโครงการ 1.52 ล้านบาท และการจัดการการระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วม 240,000 บาท ซึ่งไม่มีการใช้งบฯ ไปกับการสร้างถนน ไฟฟ้า ประปาและระบบน้ำเพื่ออุปโภค สะพาน และการจราจร

ขณะเดียวกันงบฯ ของ อบจ.ภูเก็ตในการสร้างสาธารณูปโภค ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเพียง 58.82% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่ามีนของประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 80%

ชวนให้ฉุกคิดว่า ทั้งที่ภูเก็ตยังต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและการจราจรหนาแน่น แต่งบประมาณที่ใช้ในการจัดการเรื่องเหล่านี้น้อยมาก หรือไม่มีเลย เป็นเพราะอะไร?

“อยากให้ทุกคนใช้ข้อมูลนี้ไปถามผู้สมัครนายก อบจ. ในพื้นที่ว่า เห็นข้อมูลแล้วเป็นอย่างไร เราอยากได้สิ่งนี้มากขึ้น คุณจะทำให้เราได้ไหม โยกงบฯ ส่วนที่เป็นปัญหาไม่ได้มาก แต่งบฯ มาก ไปอยู่ในส่วนที่มีปัญหามากแต่งบฯ น้อยได้หรือไม่ และเราต้องใช้คำตอบของเขา เป็นตัวการในการตัดสินใจเลือก นายก อบจ. และ ส.อบจ.ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้”

สันติชัย อาภรณ์ศรี 

อบจ.คนกลางเชื่อมโยง ส่วนกลาง-ท้องถิ่น

เมื่อส่วนกลางมองว่า “ภูเก็ต” คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ที่จะทำนโยบายส่วนกลางให้ประสบความสำเร็จ ทำให้การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล ตั้งแต่ยุค เศรษฐา ทวีสิน ต่อยอดมาจนถึงรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร เพิ่มขึ้นทุกปี จาก 3.89 พันล้านบาทในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 5.99 พันล้านบาทในปี 2567 และขยับเป็น 7.55 พันล้านบาทในปี 2568

แต่การชูแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากส่วนกลางนี้ ไม่ได้รวมถึงการสร้างถนน และสิ่งก่อสร้างสาธารณูปโภค จึงเป็นเหตุผลที่ งบฯ อบจ. จึงไม่เน้นการสร้างถนน เหมือนจังหวัดอื่น ๆ

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่างบประมาณของ อบจ.ภูเก็ต จากทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ รัฐจัดสรร, เงินอุดหนุนรัฐ และจัดเก็บเอง รวมแล้ว 1,400 ล้านบาท ถือว่าไม่มาก หากเปรียบเทียบกับชลบุรีที่มีงบประมาณ 4,500 ล้านบาท

“โจทย์วันนี้ต้องคุยกับผู้สมัคร นายก อบจ. ไม่ใช่แค่การบริหารให้มีประสิทธิภาพแบบทั่วไปเท่านั้น แต่คือการบริหารงบฯ อย่างแม่นยำ ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับงบฯ จากส่วนกลางที่ลงมา รวมถึงส่วนของท้องถิ่นอย่าง เทศบาล และ อบต.”

สติธร ธนานิธิโชติ

อบจ. จึงทำหน้าที่ เหมือนคนที่คอยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์จากส่วนกลางและนโยบายขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าง เทศบาล และ อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ที่ดูแลสารทุกข์สุขดิบ ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด

5 โจทย์ท้าทาย รถติด-น้ำเน่าขยะล้น-ภัยพิบัติ-สาธารณสุข-ท่องเที่ยวยั่งยืน

ไวทฑ อุปัติศฤงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด เปิดเผยว่า จากการพัฒนาเมืองมา 9 ปี ความท้าทายสำคัญคือ “ข้อมูลเมือง” ที่แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างเก็บ ขาดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานกลาง กับเทศบาลข้างเคียง

“ยกตัวอย่างถ้าเรามีข้อมูลที่มากพอ ปัญหารถติดที่คนภูเก็ตเผชิญมาอย่างยาวนาน อาจแก้ไขได้ ถ้านำข้อมูลความหนาแน่นของประชากร มาจัดสรรเส้นทางรถขนส่ง กำหนดจุดจอด หรือนำข้อมูลค่าครองชีพมากำหนดค่าโดยสาร”

ไวทฑ อุปัติศฤงค์

ปัจจุบัน ขนส่งจังหวัด เป็นคนกำหนดเส้นเดินรถ โดยคิดจากพื้นที่ที่ยังไม่มีขนส่งสาธารณะ กลายเป็นปัญหาในตอนนี้ว่าทำไมเส้นทางเดินรถ หรือจุดจอดรถสาธารณะถึงไม่เหมาะสม ขณะที่ค่าเดินทางก็แพง ในฐานะคนทำเรื่องพัฒนาเมือง จึงอยากให้ อบจ. ลองหาวิธีการในการลดค่าโดยสารให้เหลือ 15 บาท เหมือนอย่างไต้หวัน เพราะไม่เพียงแต่จะลดปัญหาการจราจรหนาแน่น ยังลดอุบัติเหตุทางถนน และลดความเหลื่อมล้ำ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

“เรากำลังกินบุญลูกหลานอยู่นะ สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต เราพูดแยกไม่ได้เลย ถ้ารถยังติดอยู่ คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นต่อไป อาจกลายเป็น PM2.5 แต่โชคดีที่ภูเก็ตเป็นเมืองชายทะเล จึงยังไม่เจอปัญหาคุณภาพอากาศ”

จตุรงค์ คงแก้ว

จตุรงค์ คงแก้ว รองคณบดีฝ่ายบริหารและทรัพยากรบุคคล คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหารถติดสะสมอาจกลายเป็นภัยพิบัติกระทบสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้ในไม่ช้าก็เร็ว

เช่นเดียวกับปัญหาน้ำเน่าเสีย ที่พบว่า ตั้งแต่ปี 2559 – 2567 ระดับน้ำดี ของภูเก็ตต่ำกว่า พังงาและกระบี่ ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเหมือนกัน และภูเก็ตยังเป็นจังหวัดเดียวที่ทุกปีจะมีค่าประเมินคุณภาพน้ำอยู่ในระดับเสื่อมโทรม

นอกจากนี้ยังมีปัญหาขยะล้นเมือง ที่ยังแก้ไม่ตกและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ ซึ่งในแต่ละวันโรงเตาเผาขยะแห่งเดียวของจังหวัด ต้องรองรับขยะสูงถึง 1,100 ตันต่อวัน ขณะที่ศักยภาพของเตาเผาอยู่ที่ 700 ตันต่อวันเท่านั้น ส่งผลให้ส่วนที่เหลือต้องนำไปฝังกลบ

หากไม่เร่งจัดการระบบจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มมูลค่าจากขยะอินทรีย์ ซึ่งจัดการยากและมีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณขยะทั้งหมดในแต่ละวัน ให้กลายเป็นหัวเชื้อหรือปุ๋ย ฯลฯ ของเสียที่จัดการไม่หมดเหล่านี้ อาจสะสมจนล้นไหลออกมาปนเปื้อนลงสู่ทะเล สร้างผลกระทบเกินกว่าจะคาดเดาได้

สุดท้าย “จตุรงค์” ขอฝากถึง อบจ. เรื่องภัยแล้ง น้ำท่วม และดินถล่ม ที่มีให้เห็นอยู่ทุกปีตั้งแต่ปี 2557  ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภัยพิบัติเหล่านี้ จะแก้ปัญหาหรือป้องกันได้อย่างไร เพราะหลายคนในภูเก็ตตอนนี้เริ่มชินชาและคิดว่าเป็น “New Normal” แล้ว

“ภารกิจไหนที่ อบจ. ทำได้ อยากให้ลุย แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าอยู่ในขอบเขตของกฎหมายและหน้าที่ของท่านหรือไม่ ก็อยากให้ อบจ. ช่วยระดมพล ช่วยคนภูเก็ตระดมทุนหาฉันทามติร่วมในเรื่องนั้น ๆ”

จตุรงค์ คงแก้ว

ต่อมาที่ เกียรติศักดิ์ โชติวงศ์พิพัฒน์ รองนายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดภูเก็ต เปิดเผยถึงความสุขและสุขภาพของคนในพื้นที่ ด้วยว่า แม้ประชากรภูเก็ตประมาณ 400,000 คน จะมีบ้านอยู่เกือบ 300,000 หลัง หรือคิดเป็น 1 คน เกือบจะมีบ้าน 1 หลัง แต่ความสุของพวกเขากลับอยู่แค่ 75 – 76 หน่วยเท่านั้น ประเด็นการผ่อนคลายเครียด โรคจิตเวช ไปจนถึงการเสพยาเสพติด จึงไม่ควรมองข้าม

คนภูเก็ตเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 1 คน มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงรายใหม่เพิ่มวันละ 9-10 คน เป็นเบาหวานรายใหม่วันละ 6 คน เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิต วันละ 1 คน ชี้ให้เห็นว่า “การคัดกรองโรค” ยังไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร  และโรคติดไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่จริงแล้วป้องกันได้ไม่ยาก แค่ลดหวาน เค็ม มัน และออกกำลังกาย

รวมถึงปัญหาจากโรคติดต่อยังมีให้จัดการและเตรียมพร้อมอีกเยอะ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม อุจจาระร่วง และวัณโรค ต้องมีแผนรับมือที่ดี เพื่อไม่กระทบกับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในอนาคต

ขณะเดียวกันเรื่องอุบัติเหตุทางถนน พบว่าผู้เสียชีวิต 95% ขับขี่มอเตอร์ไซค์และไม่สวมใส่หมวกกันน็อก ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องสูญเสียจากเหตุการณ์นี้ด้วย ดังนั้นถ้าอยากให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวซ้ำ จึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย

“ถ้ารัฐบาลคือค่ายมวย คนภูเก็ตคือนักมวย และ อบจ. คือพี่เลี้ยงนักมวย หลังจากโควิด เราขึ้นชกในสถานการณ์ที่รองเท้าขาด นวมขาด งบฯ ที่มีอยู่ 1,400 ล้าน ไม่พอ พี่เลี้ยงนักมวยคนไหนที่จะมีวิธีเจรจากับค่ายมวย ให้จัดสรรงบฯ ให้เรา ให้เขารู้ว่าเรากำลังจะแพ้น็อกบนเวที ถ้ายังเจอปัญหารถติด ขยะล้น ภัยพิบัติซ้ำซาก”

รศ.ชยานนท์ ภู่เจริญ

ด้าน รศ.ชยานนท์ ภู่เจริญ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษา คณะการบริการและการท่องเที่ยว  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เปิดเผยว่า ถ้าดูอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ต มีค่าเฉลี่ยการเจริญเติบโตต่อปีเนี่ยประมาณ 6.7 ตลอด 10 ปีก่อนโควิด แต่หลังจากโควิด กลายเป็นนักมวยคนเดียวที่ลำบากแสนสาหัสถึงขนาดไม่มีนมให้ลูกกิน GDP ทางเศรษฐกิจหดกัว 2 ปีซ้ำซ้อน ก่อนในปี 2565 จะฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด จึงเป็นธรรมดาที่จะมีปัญหามากมายตามมา

อย่าว่าแต่เข้ารอบลึก เวทีประลองครั้งนี้คนภูเก็ตกำลังจะน็อกด้วยซ้ำ จากปัญหาสะสม และอัตราการกลับมาท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยว ลดลงอย่างน่าใจหาย ที่สำคัญโควิดคือหลักฐานเชิงประจักษ์แล้วว่า อนาคตไม่แน่นอน และไม่ใช่ครั้งแรกที่คนภูเก็ตต้องเจอภาวะจนเฉียบพลัน เราเคยเจอมาแล้วและอาจเจออีก

“นายก อบจ.คนใหม่ อาจแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่จบภายใน 4 ปี แต่สำคัญอยู่ที่ วางแผนอะไรให้กับเรา ชีวิตที่ 1 คือเหมืองแร่ ชีวิตที่ 2 คือการท่องเที่ยว แล้วชีวิตที่ 3 ของคนภูเก็ตจะเป็นอย่างไรต่อไป”

รศ.ชยานนท์ ภู่เจริญ

วิสัยทัศน์และการตอบรับความคาดหวังของ ปชช.

เรวัต อารีรอบ ผู้สมัคร นายก อบจ.ภูเก็ต มองว่า การท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของภูเก็ต เมื่อก่อนมีจุดขายเป็น “SEA SAND SUN” แต่ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอแล้ว ต้องพัฒนาให้เป็น “Wellness Center” เพื่อสร้างรายได้ให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น

แต่ในฤดูกาลท่องเที่ยว ปัญหาขยะล้นเมือง ก็เป็นผลกระทบตามมา แต่ถ้าเริ่มให้เด็กในโรงเรียนเรียนรู้เรื่องการกำจัดขยะอินทรีย์ ซึ่งเป็นขยะที่มีสัดส่วนที่เยอะที่สุดและจัดการยาก มาทำเป็นปุ๋ย หัวเชื้อทางการเกษตร จะช่วยลดปริมาณขยะลงได้มาก แถมยังสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังค่านิยมรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ตั้งแต่ยังเด็ก

การขยายเส้นทางการเดินทาง และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ให้มีรถไฟฟ้า อาจเป็นอีกทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดที่ดี

ด้านสาธารณสุข ต้องสานต่อโครงการ “อยู่ที่ไหนก็ใกล้หมอ” และ “อบจ.คลายทุกข์” ให้คนภูเก็ตเข้าถึงการป้องกัน รักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพในทุกมิติได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสนับสนุนให้สร้างสวนสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิต

ทั้งนี้เห็นความสำคัญในการเชื่อมโยงกับส่วนกลางและหน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ เชื่อว่าด้วยภูเก็ตเปรียบเสมือนห่านที่ออกไข่ทองคำให้กับประเทศ ถ้านำข้อเสนอต่าง ๆ ไปพูดคุยกับหน่วยงานใด เชื่อว่าคงไม่ยากที่พวกเขาจะเห็นด้วย และตั้งใจว่าจะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขยับแนวทางการแก้ปัญหาไปสู่ความเป็นจริงให้สำเร็จ

ส่วน นพ.เลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล ผู้สมัคร นายก อบจ.ภูเก็ต กล่าวว่า ก่อนอื่นจะต้องกลับมาทบทวนการใช้งบประมาณของ อบจ. ว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ ถ้ายังต้องปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของประชาชน การจัดการขยะต้องเริ่มที่ต้นตอ ส่งเสริมการจัดการขยะอินทรีย์ ดึงดูดชุมชนให้มีส่วนร่วมในการลดและรีไซเคิลขยะ

ขณะที่การขนส่งสาธารณะ จะต้องจัดทำเส้นทางการเดินรถให้ทั่วถึง มีแพลตฟอร์มให้เช็กระยะเวลาที่รถจะมาถึง และต้องควบคุมราคาให้เป็นธรรม

ระบบสุขภาพ เพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ใกล้ชิดประชาชน ให้สามารถตรวจคัดกรองโรค และรักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนได้ เพื่อลดภาระโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ที่ทุกคนไม่ว่าป่วยเป็นอะไร มากน้อยขนาดไหน จะต้องตรงไปก่อนเสมอ รวมถึงสร้างระบบ “Health Score” เป็นแรงจูงใจให้กับประชาชนในการดูแลสุขภาพ โดยอาจมอบสิทธิประโยชน์ เป็นส่วนลดค่าอาหาร

ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากพัฒนาให้เป็น “Wellness Center” ยังอยากให้พัฒนาเป็น “Education Hub” และสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยเฉพาะกีฬาทางน้ำ ซึ่งเป็นจุดเด่นของภูเก็ต

ด้าน ศรีเทพ อุดมลาภ อีกหนึ่งผู้สมัคร นายก อบจ.ภูเก็ต แสดงเจตนารมณ์ว่า จะหยุดทุนผูกขาด ล้างบางคอร์รัปชัน ลดความเหลื่อมล้ำ ปฏิวัติการศึกษา และพัฒนาเมืองให้เป็นที่หนึ่งการท่องเที่ยวโลก ด้วยตัวเองไม่เกรงใจนายทุน จึงเชื่อว่าทุกนโยบายจะสามารถทำได้จริง

ระบบขนส่งสาธารณะ จะเพิ่มการขนส่งทางเรือ เพื่อลดปัญหารถติดบนท้องถนน และควบคุมราคาโดยสาธารณะไม่ให้เกิน 10 – 20 บาทได้

การจัดการขยะล้นเมือง ต้องทำ “ขยะให้กลายเป็นเงิน” โดยอาจแจกถุงขยะ 7 วัน ให้คนภูเก็ตทุก ๆ เดือน เพื่อสร้างรายได้ และเพิ่มแรงจูงใจให้กับพวกเขา

ด้านสาธารณสุข มองว่าถ้าเอางบฯ มาโฆษณาให้คนดูแลสุขภาพ ตั้งแต่อนุบาล รวมถึงคุณครู ต้องจัดอาหารมื้อกลางวันที่ถูกหลักโภชนาการให้เด็ก เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพจะซึบซับตั้งแต่เยาว์วัย และพวกเขาอาจเป็นแรงจูงใจสำคัญให้ครอบครัว หันมาออกกำลังกายด้วยได้

สุดท้ายนี้ต้องสนับสนุนให้ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว สามารถจัดทำโรงแรม โฮมสเตย์ ได้อย่างสะดวก และรวดเร็วขึ้น รวมถึงสนับสนุนให้บุคลากรการแพทย์ มีรายได้ที่เหมาะสม เพื่อดึงดูดให้มาทำงานร่วมกับ ส่วนกลาง หรือ อบจ. มากขึ้น โดยไม่จำเป็นหันไปหาสถานพยาบาลของเอกชน เพื่อแก้ปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอในพื้นที่

ช่วงท้าย ผู้เข้าร่วมยังเห็นพ้องกันว่า ทั้งหมดนี้แม้จะสะท้อนถึงปัญหา ความต้องการ และความคาดหวังของคนภูเก็ต ต่อว่าที่นายก อบจ. และ ส.อบจ. แต่สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าบริบทแต่ละพื้นที่มีปัญหาเฉพาะของตัวเอง ประชาชนในพื้นที่คือคนที่รู้ดีที่สุด และคือผู้ที่จะกำหนดอนาคตของท้องถิ่นและประเทศ ผ่านการเลือกตั้ง อบจ. ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

โจทย์ที่สำคัญในการเลือกต่อจากนี้ จึงอยากชวนให้ลองใช้ข้อมูลข่าวสารของจังหวัด และการบริหารจัดการงบประมาณของ อบจ. มาช่วยตัดสินใจ ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังบอกอะไร และที่ผ่านมาแต่ละจังหวัดใช้งบประมาณสอดคล้องกับการแก้ปัญหาที่คนในพื้นที่ต้องการหรือไม่

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active