เกมชิงเก้าอี้ อบจ. ‘เพื่อไทย-ประชาชน’ ชูจุดขาย บิ๊กเนมช่วยหาเสียง หรือ วัดนโยบาย

โค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง อบจ. ‘นักวิชาการ’ เชื่อ บิ๊กเนมหาเสียง ช่วยจุดกระแส เบรคท้องถิ่นสนองนโยบาย ‘ส่วนกลาง’ ได้ แต่อย่าลืม ‘ความต้องการของพื้นที่’ รับสภาพเลือกตั้งท้องถิ่นผู้คนขาดแรงจูงใจ กกต. ย้ำ ต้องแก้กฎหมาย เลือกตั้งนอกเขต อยู่ที่ไหนเลือกท้องถิ่นที่นั่น

เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 68 ไทยพีบีเอส จัดเวทีเสวนา “เกาะติดเลือกตั้ง อบจ. เสียงท้องถิ่นชี้อนาคตประเทศไทย” โดยมี ตัวแทนพรรคการเมือง นักกฎหมาย นักวิชาการ ร่วมวิเคราะห์ เกมการเมืองระดับชาติที่เชื่อมโยงสู่การพัฒนาท้องถิ่น

ทำไม ? กกต. จัดเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์

เวทีเสวนา เริ่มต้นขึ้นด้วยประเด็นที่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงการกำหนดวันเลือกตั้ง อบจ. ในวันที่ 1 ก.พ. 68 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาจะจัดขึ้นวันวันทิตย์ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมากกว่าหรือไม่ แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อธิบายว่า หลังประกาศวันเลือกตั้งได้ชี้แจงหลายครั้งถึงเหตุผล ทั้งที่ กกต. ก็อยากให้เป็นวันอาทิตย์ แต่เมื่อพิจารณาจากกระบวนการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้ไม่มีปัญหาตามมา วันเสาร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่มีความเสี่ยงในข้อกฎหมาย โดยคำนึงถึงสิทธิประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง และความชอบธรรมของคนที่ได้รับเลือก ซึ่งหากกำหนดเป็นวันอาทิตย์ มีข้อจำกัดบางอย่างที่อาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ กกต.จึงตัดสินใจเลือกวันเสาร์ และใช้มาตรการรณรรงค์ ให้ประชาชนมาเลือกตั้ง แม้วันเสาร์จะเป็นวันทำงานของบริษัทเอกชนหลายแห่ง

“ผมว่าทุกคนหวังให้การเมืองดี ประเทศก็ดี เมื่อมันเป็นวันเสาร์ ตอนนี้เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ขอให้พนักงาน นายจ้างสละเวลาไปเลือกไม่นาน เว้นแต่บางคนที่ทำงานต่างจังหวัด แต่เราไม่มีการเลือกตั้งนอกเขต”

แสวง บุญมี 

แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

เลขาธิการ กกต. ระบุอีกว่า ปัญหาหากเลือกวันอาทิตย์ จากการสำรวจข้อมูล และกฎหมายบอกว่าต้องเลือกตั้งเสร็จภายใน 45 วัน จะครบในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ. แต่การนับคะแนน อย่างเช่น ในพื้นที่ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย หน่วยเลือกตั้งในพื้นที่ห่างไกล เวลาปิดหีบ 17.00 น. และการเลือกตั้ง 2 ระบบ ทั้ง นายก อบจ. และ ส.อบจ. ที่ใช้คณะกรรมการนับชุดเดียวกัน ใช้เวลานับเสร็จจราว 21.00-22.00 น. ส่วนมากจะส่งคะแนนข้ามวัน

“ที่ผ่านมาเราคำนึงถึงความปลอดภัยของชุมชนที่เป็นชาวเขา ต้องส่งคะแนนที่อำเภอ แล้วต้องกลับไปนอนที่บ้าน มันทำให้ต้องเลยวัน มันจะมีปัญหาในการตีความ บังคับให้ทำมันก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ มันทำให้การเลือกตั้งเสียไปเลย เราจึงมาหาแนวทางที่จะทำให้คนเข้าไปเลือกตั้ง”

แสวง บุญมี 

ขณะที่ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) มองว่า กกต. สามารถกำหนดให้เลือกวันอาทิตย์ได้ เพราะหากนับตามกรอบเวลา 45 วัน และเป็นเวลา 1 ปี ที่รู้ว่าจะต้องเลือกตั้ง อบจ. ประชาชนเข้าใจกันว่าจะเป็นวันที่ 2 ก.พ. แต่พอ กกต. ประกาศว่าเป็นวันที่ 1 ก.พ. ก็ตกใจเช่นกัน ส่วนกรณีที่ เลขาฯ กกต. อ้างว่า พื้นที่บนดอยส่งคะแนนเลือกตั้งล่าช้าไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงอย่างไรประชาชนก็ลงคะแนนเลือกกันในวันที่ 2 ก.พ. แต่เข้าใจในความกังวลของ กกต. ที่หากมีคนหาเรื่องทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ภายหลัง เป็นความกังวล ในบ้านเมืองที่ไม่ปกติ มีคนไปร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ทางการเมืองของเรา

“วันอาทิตย์ไปได้ แต่วันเสาร์ไปไม่ได้ คนบางคนอาจจะยังจำกันว่าเป็นวันอาทิตย์ เสียดาย ถ้า กกต. ตัดสินใจแล้ว ผมว่าต้องคิดมาตั้งนานแล้ว แต่กว่าจะประกาศว่าจะเอา 1 ก.พ. ก็เดือน ธ.ค. ถ้าบอกมานานกว่านี้ อย่างน้อยเราจะได้พูดกันว่า เป็นวันเสาร์”

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์

ก่อแก้ว พิกุลทอง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า การจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์ ไม่เป็นปัญหาสำหรับพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัคร อบจ. 16 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในจังหวัดที่มีโรงงาน ก็จะเป็นที่ จ.ลำพูน จ.ปราจีนบุรี จ.เชียงใหม่ แต่โดยภาพรวมมองว่า กระทบไม่มาก เพราะพื้นที่เหล่านั้นเป็นการทำเกษตรกรรรม และการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการก็สามารถไปเลือกตั้งได้ ส่วนเกษตรกรก็เลือกในหมู่บ้าน อาจจะมีที่ จ.ลำพูน ที่ไปทำงานในโรงงานต่างอำเภอ บางแห่งทำงานวันเสาร์ ลางานลำบาก แต่โดยภาพรวมของเพื่อไทย กระทบน้อย

ทางฝั่ง พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า บอกว่า การเลือกตั้งวันเสาร์นั้น พรรคประชาชน ส่งผู้สมัครลง อบจ. 17 จังหวัด ไม่มีที่ไหนเลยที่ประชาชนไม่บ่นว่าทำไมจะต้องมาเลือกตั้งวันเสาร์ และถ้าหากผู้หาเสียงไม่แจ้งว่ามีการเลือกวันเสาร์ ประชาชนบางคนอาจไม่ทราบเลย เพราะเข้าใจมาตลอดว่าเลือกตั้งจะเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน

พรรณิการ์ ยังระบุถึง อัตราผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งใหญ่ กับการเลือกตั้งท้องถิ่นต่างกันคือ เลือกตั้งใหญ่ผู้มาใช้สิทธิเฉลี่ยทั่วประเทศ 76% เลือกตั้ง อบจ. ผู้มาใช้สิทธิเฉลี่ย 62% ซึ่งเป็นช่องว่างที่กว้างมาก คือกว่า 10% เพราะว่าไม่มีเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้อพยพย้ายถิ่นฐานไปทำงานในต่างจังหวัดจำนวนมาก เชื่อว่า ทุกคน รวมถึง กกต. ทราบดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีการแก้ไข

“รอบนี้นอกจากจะยังไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตแล้ว ยังเลือกวันเสาร์ วันเสาร์ไม่ใช่มีปัญหาเฉพาะคนที่ทำงานอย่างเดียว แต่บางคนต่อให้ตั้งใจจะลางาน หรือว่าหยุดกลับบ้านไปเลือกตั้ง ถ้าหากเลือกวันอาทิตย์ วันเสาร์จะเป็นวันเดินทาง วันอาทิตย์เลือกตั้งแต่เช้าแล้วเดินทางกลับมาทำงานในวันจันทร์ แต่ถ้าเลือกตั้งวันเสาร์ ต้องลางานวันศุกร์ด้วย เพราะตามกฎหมายนายจ้างไม่ยอมให้เป็นวันหยุดวันลาแน่นอน เพราะไม่ใช่วันเลือกตั้ง เรื่องนี้ กกต. ที่จัดการเลือกตั้ง ควรจัดการเลือกตั้งที่อำนวยความสะดวกต่อประชาชนไปใช้สิทธิเสรีภาพ ปัจจัยหลักของเรื่องนี้ที่สำคัญที่สุด คือ การให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด แต่วันนี้เรากลับได้ยิน กกต. พูดว่า กลัวว่าผิดกฎหมาย

พรรณิการ์ วานิช

พรรณิการ์ ระบุเคยตั้งคำถามว่า ทำไมไม่เลือกตั้ง 26 ม.ค. กกต. บอกว่า กลัวผู้สมัครหาเสียงไม่ทัน ซึ่งเชื่อว่าผู้สมัครหาเสียงทัน และสุดท้ายแล้วการเลือกตั้งวันเสาร์คนที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ก็คือคนที่ทำงานต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่ในพื้นที่บ้านตัวเอง คนที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว อายุ 18 – 40 ปี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคนที่เลือกพรรคไหนมากกว่ากัน ? แต่หากตัดเรื่องนี้ออกไป ก็ยังมองว่าการเลือกตั้งไม่เป็นธรรมต่อพรรคการเมือง ไม่สำคัญเท่า การเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่เขาไม่ได้รับความสะดวกอย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

‘ขาดแรงจูงใจ – ไกลตัว’ เหตุ คนไม่กลับไปเลือกตั้ง อบจ. 

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ระบุถึง ปัญหาการจัดวันเลือกตั้งรอบนี้ยังไม่เกิดเชิงประจักษ์ คือ ยังไม่เห็นตัวเลขผู้ออกมาใช้สิทธิว่าเลือกวันเสาร์น้อยกว่าวันอาทิตย์จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่จะต้องทำไปมากกว่านี้ คือ การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต แต่มีคำถามว่าทำไมไม่จัดการเลือกตั้งนอกเขตในการเลือกตั้งท้องถิ่น นั่นเป็นเพราะ การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่เหมือนระดับชาติ เพราะทำโดยท้องถิ่น จะมีความยาก แต่กลับมาถึงเรื่อง แรงจูงใจที่ทำให้คนไปใช้สิทธิมากกว่า

“ยกตัวอย่าง หากผมเป็นคนเชียงใหม่แต่ไปใช้สิทธิกับ อบจ. นนทบุรี ที่ใกล้ที่ทำงาน มันข้ามเขตปกครอง ไม่เหมือนการจัดโดย กกต. ที่จะมีหน่วยเลือกตั้งกลางให้กับประชาชน แต่ถึงกระนั้นยังไม่พอ ตัวเลขที่ออกมา ต่อให้มีการจัดเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต หรือ เลือกตั้งวันอาทิตย์ เชื่อว่าจะทำให้คนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ไม่มากเท่ากับระดับชาติอยู่ดี นั่นเป็นเพราะว่าแรงจูงใจในการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยกว่าระดับชาติเยอะ ตรงที่สมมติผมมีทะเบียนบ้านอยู่ จ.เชียงใหม่ แต่อาศัยอยู่ จ.นนทบุรี คำถามคือผมจะเดินทางไปเลือกตั้ง นายก อบจ. ที่เชียงใหม่เพื่ออะไร ในเมื่อผมหายใจรดคนนนทบุรีอยู่ทุกวัน คนเก็บขยะให้บ้านผมก็ อบจ. นนทบุรี แล้วทำไมไม่ให้ผมเลือกที่นนทบุรี แล้วทำไมผมจะต้องย้ายทะเบียนบ้านในเมื่อผมสะดวกที่จะมีทะเบียนบ้านอยู่ที่เชียงใหม่”

สติธร ธนานิธิโชติ

สติธร สรุปว่า ดังนั้นการแก้ปัญหาท้องถิ่นจะต้องแก้เรื่องดังกล่าว คือ ให้คนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน ต้องมีสิทธิเลือกที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งที่นั่น

เมื่อถามว่าบิ๊กเนมลงหาเสียงเลือกตั้งมีส่วนช่วยหรือไม่ที่จะทำให้คนออกมาหาเสียงมากขึ้นหรือไม่ สติธร วิเคราะห์ว่า อาจจะช่วยได้ แต่ไม่ถึงระดับชาติอยู่ดี เพราะบิ๊กเนมที่ลงพื้นที่ไปหาเสียง จะลงมาบริหารบ้านเมืองให้หรือไม่ จะมาดูแลบ่อขยะ จะมาสร้างถนนเพิ่ม หรือไม่ ด้วยการใช้งบฯ อบจ. ก็คงไม่ แรงจูงใจในการออกไปใช้สิทธิไม่ได้มากพอที่จะทำให้คนสละเวลาเดินทางไปใช้สิทธิ ดังนั้น การเลือกตั้งท้องถิ่นต้องยอมรับว่า คนที่อยู่นอกพื้นที่จะกลับไปเลือกมีแรงจูงใจน้อย ต่อให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ก็ตาม ถ้าเป็นวันที่ไม่สะดวกก็ไม่ไปอยู่ดี เพราะความสำคัญว่าจะได้ทีมไหนไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของคนในจังหวัดมันแตกต่างกันขนาดนั้น จนต้องยอมสละวันของตัวเอง

ด้าน เลขาธิการ กกต. ชี้แจงว่า วันเลือกตั้งจะต้องเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนครบกำหนด เพื่อให้สามารถทำตามขั้นตอนได้ ส่วนการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต จริง ๆ แล้ว กกต. อยากทำ แต่กฎหมายไม่ให้ทำ เพราะการจัดการเลือกตั้งเป็นอำนาจการจัดการของท้องถิ่น ที่ กกต. เป็นคนกำกับ ซึ่งหากจะทำจะต้องไปแก้กฎหมาย

ก่อแก้ว พิกุลทอง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

การเมืองระดับชาติ ลุย อบจ. นำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่น ?

การลงพื้นที่หาเสียงของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง ถูกตั้งคำถามว่า นโยบายที่หาเสียงนั้น เกินอำนาจที่ท้องถิ่นจะทำได้หรือไม่ ? คำถามนี้ ก่อแก้ว ตอบว่า เวลาที่ ทักษิณ ไปหาเสียงจะพยายามสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังทำอะไรอยู่ และในอนาคตจะทำอะไรบ้างเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ โดยใช้ภาพกว้างเพื่อให้ชาวบ้านที่บางทีอาจไม่เข้าใจว่าประเทศไทยจะไปทิศทางไหน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและให้เกิดความศรัทธาต่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเมื่อเกิดความศรัทธาและความเชื่อมั่นก็จะทำให้ชาวบ้านอยากจะมาเลือกผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย

“การที่ช่วยหาเสียง โดยไม่ได้พูดเรื่องรายละเอียดของ อบจ. ไม่ได้มีความหมิ่นเหม่ เพียงแต่ว่าเป็นการกล่าวในทิศทางของรัฐบาลให้ทราบ ให้เกิดความเชื่อมั่นและความสบายใจในหลายเรื่องที่พยายามทำให้ชาวบ้านดีขึ้น และจากที่ติดตามไปในหลายเวที ยังไม่มองเห็นว่าอะไรที่เป็นปัญหา เพราะไม่เคยบอกว่าสิ่งที่พูดไป อบจ. ทำ เพราะนโยบายเกี่ยวกับ อบจ. ส่วนใหญ่ตัวผู้สมัครเองจะเป็นคนออกมาพูดให้ชาวบ้านฟังว่าจะทำอะไรบ้าง พวกผมจากส่วนกลางจะพูดถึง อบจ. บางส่วนที่จะเป็นการสนับสนุนกัน เพราะด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ อบจ. อบจ. 1,000 ล้านบาท เป็นงบประจำก็ 500-600 ล้านบาทแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นงบที่จะนำไปพัฒนาพื้นที่ส่วนมากเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นอะไรที่จะทำให้จังหวัดดีขึ้นมันจะไม่มีกำลังต้องประสานรัฐบาล

ก่อแก้ว พิกุลทอง

ก่อแก้ว บอกอีกว่า สมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ก็ไม่กล้าไปอภิปรายแบบนี้ เพราะไม่สามารถสนับสนุนได้ ต้องทำงานภายใต้ขีดจำกัดที่มี วันนี้เราพยายามสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่าพรรคอยากสนับสนุนตัวแทนในการพัฒนาจังหวัด

ด้าน พรรณิการ์ บอกว่า แนวคิดที่ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง เป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่บางส่วนไม่จริง โดยยกตัวอย่าง จ.สมุทรปราการ 4 ปี งบฯ 10,000 ล้านบาท  หรือ จ. ระยอง 1 ปี งบฯ 3,000 ล้านบาท รวม 4 ปี 12,000 ล้านบาท ถามว่าจังหวัดเหล่านี้งบประมาณได้ถูกนำไปใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนหรือไม่ ประเด็นที่สอง การที่บอกว่าเพราะเป็นรัฐบาลจึงสามารถเอางบฯ จากส่วนกลางไปสนับสนุน อบจ. ได้ หมายความว่า ถ้าไม่เลือกพรรครัฐบาล จังหวัดนั้นจะไม่ได้เงินสนับสนุนหรือไม่ ? สรุปแล้วพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนงบประมาณให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฉพาะที่เป็นของพรรคตัวเองที่ชนะการเลือกตั้งหรือไม่ ?

พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า

“ดิฉันคิดว่าประเด็นนี้มีปัญหาในเชิงหลักการ เพราะเป็นบ่อนทำลายหลักการกระจายอำนาจอย่างมาก เพราะคุณจะต้องอาศัยงบประมาณจากส่วนกลางที่แล้วแต่เขาจะเมตตาเพื่อที่ว่าจังหวัดของคุณจะได้รับการพัฒนา แต่ในหลักการของพวกเราในตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคประชาชน เราบอกว่า การยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ต้องทำ 3 อย่างคือ เพิ่มงบฯ เพิ่มคน เพิ่มอำนาจ ตามกฎหมาย แทนที่เราจะบอกว่าเลือกเราสิ เดี๋ยวเราเอาเงินเพิ่มให้ สิ่งที่เราจะบอกก็คือว่าเปลี่ยนโครงสร้างการจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณใหม่ เพื่อให้ทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดที่พรรคประชาชนชนะหรือไม่ สามารถมีงบประมาณที่เพียงพอที่จะดูแลจังหวัดของตัวเองได้”

พรรณิการ์ วานิช

พรรณิการ์ ย้ำว่า สำหรับพรรคประชาชน มีบทเรียนว่าการนำบิ๊กเนมลงพื้นที่หาเสียงไม่ได้ส่งผลให้ชนะเสมอไป การเลือกตั้ง ในปี 2563 แพ้หมด แต่ได้มีการถอดบทเรียนมาแล้วว่า ต่อให้มีประชาชนมาสนใจมากแค่ไหนไม่ได้ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวให้คนมาเลือกตั้ง ทำให้การลุยเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคประชาชนรอบนี้ จึงเน้นที่ตัวผู้สมัครเป็นหลัก และแคมเปญที่ส่วนกลางจะทำได้ คือการชวนคนไปเลือกตั้งผ่าน Your pen ปากกาของคุณมีราคาเท่าไหร่ ซึ่งเป็นระบบที่จะบอกว่าในพื้นที่นั้นหากไปเลือกตั้งแล้ว ในพื้นที่จะมีงบประมาณเท่าไหร่ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ประชาชนจะต้องรู้ว่า อบจ. ในท้องถิ่นของเขามีงบประมาณมากเท่าไหร่ โดยย้ำว่า ให้ พิธา ธนาธร ลงพื้นที่ ไม่ได้มีส่วนให้คนอยากเลือกตั้งมาก เท่ากับการที่ให้ประชาชนรู้ถึงงบประมาณที่ท้องถิ่นตัวเองได้รับ

ก่อแก้ว ชี้แจงประเด็นการสนับสนุนรัฐบาลสู่ท้องถิ่นว่า ไม่ใช่ไม่สนับสนุนเพียงแต่หากเป็นผู้สมัครที่รู้จักกัน ก็จะมีความคุ้นเคยประสานงานกันง่าย แต่สำหรับในบางจังหวัดที่มีงบประมาณไม่เพียงพออาจจะต้องอาศัยการประสานงาน และมีการตรวจสอบที่มากขึ้น 

เลขาธิการ กกต. ยังอธิบายถึง กรณีผู้ช่วยหาเสียง ต้องมีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้าม ตอนนี้มีคนมาร้องเรียน ระเบียบบอกแล้วว่าทำอะไรได้แค่ไหนอย่างไร ซึ่งต้องไปดูพยานหลักฐานว่าเป็นอย่างไร ไม่ว่าฝ่ายไหน หากมีคนมาร้อง ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง จะบอกว่า กกต. ไม่รู้ไม่ใช่ แต่หากมาพูดตอนช่วงที่มีการหาเสียง ก็จะทำให้ กกต. ถูกตั้งคำถามเรื่องท่าทีได้ 

พรรคบิ๊กเนม กับ การได้เปรียบเสียเปรียบ

ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการข่าวอาวุโส ไทยพีบีเอส บอกว่า การหาเสียงของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งท้องถิ่น สร้างความคึกคัก ให้คนสนใจ แต่ต้องยอมรับว่าส่งผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบของผู้สมัคร โดยเฉพาะผู้สมัครอิสระ หรือ พรรคการเมืองเล็ก ไม่มีบิ๊กเนม ไปหาเสียงอย่างพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่มีบิ๊กเนมลงไป แม้ว่าจะส่งคนของพรรคไป ขณะที่พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน ลงพื้นที่หาเสียง และมีพื้นที่หน้าสื่อเยอะมาก โดย ผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งพูดถึงงานรัฐบาล ไปพูดเรื่องระดับนโยบายที่รัฐบาลควรจะทำ ซึ่งสิ่งที่ทักษิณพูด คนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยขานรับและมาเป็นนโยบายรัฐบาล

จึงเสนอว่า ระหว่างที่มีการหาเสียง มีคนมาร้องเรียน สิ่งที่สงสัยคือ อย่างน้อย กกต. ต้องมีการออกมาเตือน เพราะตอนนี้ไม่รู้ถูกหรือผิด กกต. สามารถส่งสัญญาณไป เหมือนการประชุมสภาฯ ที่นอกเหนือจากวาระ เขาก็มีการประท้วงกันทันที หากทำได้จะทำให้เขารู้ตัวว่าถูกจับตามอง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)

ยิ่งชีพ ก็มองว่า กกต. อาจจะไม่ต้องเตือนเพราะอาจจะดูเหมือนขู่ แต่สิ่งที่ กกต. ควรจะทำ คือ อธิบายกฎหมายว่า กฎหมายว่าอย่างไรอย่างเป็นกิจลักษณะ และสม่ำเสมอ หรือมีเป็นเอกสารหรือตัวอย่าง กรณีที่เกิดขึ้นและวินิจฉัยไปแล้วเพื่อให้คนที่หาเสียงเดินตามร่องตามรอยที่ กกต. อธิบายไว้ และเห็นด้วยว่าการที่คนดังลุยสนามท้องถิ่น ทำให้มีกระแสช่วยสร้างความต้องการให้คนอย่างเลือกมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้น่าสนใจ เพราะทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ส่งหลายจังหวัดเหมือนกันและมีข้อดีที่ว่าประชาชนจะเลือกเพราะคนนั้นเข้ามาบริหารจังหวัดได้ไม่ใช่เลือกเพราะรักในพรรคการเมืองนั้น

สติธร ระบุถึง จุดเด่นของทั้ง 2 พรรคอย่าง เพื่อไทย ที่ขายความเชื่อมโยงท้องถิ่นกับส่วนกลาง ขณะที่พรรคประชาชน มองว่า ทำไมต้องไปที่ส่วนกลางในเมื่อจังหวัดมีศักยภาพที่จะดูแลตัวเองได้ หรือหากบางจังหวัดศักยภาพไม่ถึงส่วนกลางก็สามารถสนับสนุนได้ ตรวนี้มีทั้ง ข้อดีและข้อควรระวัง ทั้ง 2 มุมมอง ตอนนี้จะเห็นว่า เพื่อไทยเป็นรัฐบาลและส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น จึงอาศัยความเป็นรัฐบาลเพิ่มความได้เปรียบในการหาเสียงระดับท้องถิ่น ขณะที่พรรคประชาชน ก็เป็นฝ่ายค้าน จะทำเหมือนกันไม่ได้เพราะเขาไม่ได้มีอำนาจนั้นอยู่ในมือเหมือนเพื่อไทย ประเด็นคือยังไม่เคยเห็นภาพว่าถ้าหากพรรคประชาชน เป็นรัฐบาลเขาอาจจะหาเสียงแบบเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลางก็ได้แต่อันนี้ยังไม่เกิดขึ้น ขณะที่พรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า หากเป็นฝ่ายค้านคงไม่ใช้รูปแบบการหาเสียงแบบนี้เช่นกัน 

แต่เมื่ออธิบาย ความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงทฤษฎี สติธร ย้ำว่า เสรีนิยมประชาธิปไตย เวลาเลือกตั้งท้องถิ่น ขอแค่ 2 คำคือ free และ fair Free คือ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกจากตัวเลือกที่มี Fair คือ ทุกคนที่ลงแข่งต้องอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน และ เห็นว่า กกต. มีการระบุข้อกฎหมายว่าอะไรที่ทำได้อะไรที่ทำไม่ได้ในการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. แต่จะดีกว่านั้นถ้าหากเป็นการ อธิบายข้อกฎหมายหรือมีตัวอย่างให้ดู แต่เห็นด้วยว่าไม่ใช่บทบาท กกต. ที่จะไปคอยห้ามปรามว่าไม่ให้ทำอะไร 

“ทีนี้กลับมาดูในเรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งมีทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ลุยสนามท้องถิ่นมันก็เกิดความได้เปรียบโดยธรรมชาติ ต่อให้ไม่พูดแต่ถ้าหากเอาผู้บริหารพรรค ไปปราศรัยก็การันตีได้ว่ารัฐบาลจะเอาใจใส่พื้นที่นี้”

สติธร ธนานิธิโชติ 

สติธร ยังบอกอีกว่า ในบางประเทศเพื่อความลดความได้เปรียบเสียเปรียบแบบนี้ โดยเฉพาะประเทศที่การเลือกตั้งแบบมีเทอมชัดเจน คือ จัดเลือกตั้งระดับชาติและท้องถิ่นวันเดียวกัน แต่ในประเทศที่เป็นระบบแบบไทยที่มีเทอมไม่ชัด โดยเฉพาะระดับชาติก็จะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ทำให้ต้องมาสู้กัน และการจะลดความได้เปรียบเสียเปรียบ คือ ต้องทำให้ความได้เปรียบของการเป็นรัฐบาลในการที่จะเอามาขายในสนามท้องถิ่นลดลง แปลว่า ต้องเพิ่มอำนาจให้กับท้องถิ่นมากขึ้น จนคนไม่รู้สึกว่าการที่ท้องถิ่นไปเชื่อมโยงกับระดับชาติแล้วมีผลกับท้องถิ่นมากหรือน้อยแตกต่างกัน 

“การหาเสียงที่พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาชนสู้กัน สะท้อนให้เห็นการออกแบบเชิงโครงสร้างของท้องถิ่นประเทศไทยตอนนี้ ว่า วาง อบจ. ไว้ตรงไหน และการจะบอกว่า อบจ. จะดูแลท้องถิ่นของคุณ 100% โดยไม่ต้องพึ่งพาส่วนกลางเลยทำได้ยาก ทั้งในแง่งบประมาณและอำนาจหน้าที่ที่มี”

“ขณะเดียวกัน หาก อบจ. ทำหน้าที่เป็นหน่วยรับนโยบายของรัฐบาลมาสนองอย่างเดียว ก็จะไม่ตอบโจทย์ปัญหาของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นการทำลายตัวเองของ อบจ. ในอนาคต ในฐานะที่เป็นตัวแทนของท้องถิ่นในการดูแลสารทุกข์สุกดิบของคนในพื้นที่ ทำให้คุณภาพชีวิตดีแต่กลับ มัวแต่สนองนโยบายของระดับชาติจนเกินไป ในระยะยาวอาจจะทำให้คุณไม่ถูกเลือกก็ได้”

สติธร ธนานิธิโชติ 

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

แนะ อบจ. ระวัง! สนองนโยบาย ‘ส่วนกลาง’ จนลืม ‘ความต้องการพื้นที่’

สติธร บอกว่า ประโยชน์คือ ดูเหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสเพิ่มศักยภาพท้องถิ่นระดับ อบจ. ที่จะดูแลพื้นที่ได้ดีขึ้น ผ่านการเชื่อมทรัพยากรทางการบริหารจัดการที่ดูแลโดยรัฐบาลกลางเข้าสู่พื้นที่ ในขณะเดียวกันในบทบาทของท้องถิ่นที่ดูแลครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดโดยมี หน้าที่สนับสนุน เทศบาล อบต. ในจังหวัดด้วยก็จะเติมเต็มกันได้มากขึ้นซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็ง แต่ข้อควรระวังก็คือถ้าหากคุณสนองนโยบายของรัฐบาลส่วนกลางเกินไปจนละเลยความต้องการของพื้นที่ แน่นอนว่าระยะยาว ก็อาจจะถูกประชาชนไม่เลือก ขณะที่ โมเดลของพรรคประชาชน หากจะขายการเชื่อมโยงกับส่วนกลาง ก็สามารถทำได้ในบทบาทของสมาชิกรัฐสภา แม้จะเป็นเสียงส่วนน้อย ผ่านการผลักดันข้อกฎหมาย แต่การนำเสนอนโยบายที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ และมองว่าศักยภาพของอบจจอไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงเม็ดเงิน

“ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งรอบนี้ทำให้เรามองเห็นภาพของ อบจ. ชัดขึ้น โดยการหาเสียงของพรรคประชาชนทำให้เราฉุกคิดว่า ก็มีแนวทางที่ว่าภายใต้ทรัพยากรอันจำกัด นายก อบจ. ถ้ามีฝีมือเข้าใจปัญหาเข้าใจความต้องการของประชาชน เขาก็สามารถทำอะไรได้โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณหรือทรัพยากรทางการบริหารทั่วไป สามารถดึงทุนทางสังคม โฟกัส ทุนทางวัฒนธรรม ทุนความร่วมมือของประชาชน ผนึกกำลังกันและทำงานร่วมกับท้องถิ่นได้” 

สติธร ธนานิธิโชติ 

บทบาทพรรคการเมืองกับการพัฒนาท้องถิ่น

ส่วนที่ว่าพรรคจะร่วมพัฒนาท้องถิ่นอย่างไรนั้น พรรณิการ์ บอกว่า ตั้งแต่วันแรกที่ตั้งพรรคประชาชนได้พยายามเชื่อมโยงการเมืองท้องถิ่นกับระดับชาติมาตั้งแต่แรก เพราะเห็นในประเทศที่มีการกระจายอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น มาเลเซีย พรรคการเมืองระดับชาติลงเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งนั้น ทำให้ภาพรวมทางการเมือง “Healthy” มีสุขภาพดี เข้มแข็ง เป็นประชาธิปไตยจากฐานรากจริง ๆ ซึ่งได้พยายามผลักดันผ่านกฎหมาย เช่น ร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางบก ที่ถูกปัดตกไป ซึ่งอนุญาตให้ท้องถิ่นออกสายรถเมล์ได้ เพราะระบบขนส่งสาธารณะประเทศไทยล้าหลังแบบนี้ ไม่ได้ติดข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ หลายจังหวัดมีงบประมาณเพียงพอที่จะทำ แต่ไม่มีอำนาจที่จะออกสายรถเมล์ ต้องขอกรมการขนส่งทางบก และไม่เคยได้รับอนุญาต กฎหมายฉบับต่อมาคือ ประมวลกฎหมายที่ดินฉบับแก้ไข ก็ถูกปัดตกเพราะรัฐบาลไม่เห็นด้วย เป็นกฎหมายที่จะใช้แก้ ปัญหา “หน้าบ้าน” ได้แก่ ไฟฟ้า ถนนพัง คลองเน่าเสีย น้ำไม่ระบาย สะพานลอยไม่ได้ซ่อม แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เพราะพื้นที่หน้าบ้านของประชาชนไม่ได้อยู่ในอำนาจของ สส. บางพื้นที่เป็นพื้นที่ซ้อน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะแก้ปัญหาที่ว่า ปัญหาหน้าบ้านให้เป็นอำนาจท้องถิ่นเข้ามาซ่อมแซมแก้ไขโดยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิถือครองที่ดิน 

“ข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่งบประมาณ แต่คือข้อจำกัดเรื่องอำนาจ ซึ่งคนที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอำนาจของท้องถิ่นได้คือสภา ผู้แทนราษฎร ที่จะแก้ไขกฎหมายรวมถึงแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือจุดแข็งและจุดของเรา ซึ่งเชื่อมโยงการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติมาโดยตลอด”

พรรณิการ์ วานิช

ก่อแก้ว ชี้แจ้งในฐานะที่โหวตคว่ำกฎหมายให้มีรถสาธารณะในพื้นที่ มองว่าเจตนาที่จะกระจายขนส่งสาธารณะต่างจังหวัดนั้นเป็นเรื่องดี แต่ว่ากฎหมายยังมีช่องโหว่ เพราะเป็นการเขียนกฎหมายครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือหลายจังหวัด หรือหลายเทศบาลไม่มีงบประมาณ ทำให้ภาระในการจัดการงบประมาณ อาจเกิดการเป็นหนี้ เช่น บางเทศบาลหากมีการจัดรถสาธารณะ รับส่งประชาชน พอถึงการเลือกตั้งภาระการดูแลจะตกไปอยู่ที่ทีมที่เข้ามาบริหารใหม่ ซึ่งเป็นการพิจารณาปัจจัยอย่างถี่ถ้วน ทำให้มีจุดอ่อนอยู่ในตัว ส่วนตัวชอบกฎหมายฉบับนี้ หากเขียนเฉพาะเจาะจงจังหวัดที่มีฐานะดี เช่น ระยอง, สมุทรปราการ, ภูเก็ต, เชียงใหม่ สส.จะพิจารณาได้ว่า จังหวัดนั้นมีศักยภาพในการบริหารจัดการหรือไม่ 

ส่วนกฎหมายที่ดิน ที่มีความตั้งใจจะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ซึ่งบางครั้งอาจอยู่ในที่ของเอกชน ที่ท้องถิ่นไม่มีอำนาจเข้าไปทำ ได้ ก็เลยมีแนวคิดที่จะออกกฎหมาย แต่เขียนเอาไว้กว้างมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาตามมา โดยเฉพาะที่เขียนว่าที่ดินใดของบุคคลที่เป็นเจ้าของเมื่อผ่านมาสามปีสาธารณะชนไปใช้ประโยชน์อยู่โดยที่ไม่ขัดขวางชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่นั้นสามารถยื่นหนังสือขอให้ อบต. หรือเทศบาลอนุมัติใช้พื้นที่นั้นเพื่อสาธารณะได้โดยไม่ลิดรอนความเป็นสิทธิของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งมีปัญหา ที่อาจก่อให้เกิดการลิดรอนสิทธิ์ของเจ้าของเดิม ซึ่งควรเขียนให้เฉพาะเจาะจง

ใช้งบฯ ตอบโจทย์ท้องถิ่นเชิงประเด็น หรือ กระจายไม่ทั่วถึง ?

สติธร ระบุอีกว่า จากการดูงบประมาณบางจังหวัดมีความน่าสนใจ คือ หากดูแบบผิวเผิน ดูเหมือนว่างบประมาณลงไปที่โครงสร้างพื้นฐาน อย่างการทำถนน สะพาน อาคาร แต่พอไปดูในรายละเอียด พบว่า ถ้าเป็น อบจ. สายบ้านใหญ่ ไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหน จะมีประสบการณ์ในการบริหาร อบจ. ว่าไม่ได้ละเลยการตอบสนองปัญหาของประชาชน เช่น จ.ชลบุรี มีงบประมาณในการบริหารจัดการเรื่องน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับปัญหาของพื้นที่ หรือ จ.ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยว การสร้างถนน การคมนาคมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเข้ามาสนับสนุน รัฐบาลส่วนกลางสนับสนุนเต็มที่ เขาจึงใช้งบประมาณไปกับสาธารณสุขและการการศึกษา ไม่สร้างถนนทับเส้นกัน หมายความว่าเรื่องนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่สังเกตการณ์การปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณสูง เขาอาศัยโอกาสในการเข้าไปบริหารพื้นที่ทำคุณประโยชน์จนทำให้คนเห็นว่าเขามีผลงานในระดับที่น่าสนใจ

“แต่นั่นคือสัดส่วนภาพรวม ที่เราเห็นว่ามีร่องรอยของความชาญฉลาดในการใช้โอกาสในการเข้าสู่อำนาจ ไปบริหารเพื่อทำให้ตัวเองได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เราต้องดูต่อคือภาพใหญ่ตอบโจทย์ปัญหาเชิงประเด็น แต่ในแง่ของการกระจายทรัพยากรหรืองบประมาณทั่วถึงจริงหรือไม่ เพราะพอเป็นบ้านใหญ่มักจะถูกครหาว่ากระจายไปยังเครือข่ายพันธมิตรในจังหวัด ไปกระจุกอยู่ที่ตำบลฐานเสียงหรือไม่ ก็พบร่องรอยที่มันเกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้เช่นกัน”

กกต. ตรวจสอบ สู่ ความโปร่งใส ทำได้จริง ?

เลขาธิการ กกต. ย้ำทิ้งท้ายว่า การทำงานเชิงรุกในการเลือกตั้ง มีกติกาว่า “อย่าซื้อเสียง” ที่บอกว่า Free and Fair แปลงมาเป็นกฎหมายเรื่องความโปร่งใส ยืนยันว่า กกต. ทำอย่างโปร่งใส เรื่องความสุจริต คือ เรื่องประชาชนไปเลือกตั้งโดยมีอิสระ ไม่ถูกข่มขู่ถูกซื้อ ไม่ถูกหลอกลวงชักจูง ต้องอาศัยความร่วมมือไม่ใช่ กกต. ปฏิเสธความรับผิดชอบ และผู้สมัคร คือ ผู้สมัคร เราไม่รู้ว่ามีอิทธิพลมาจากไหน แต่หากเขาทำเกินกฎหมายใช้อิทธิพลข่มขู่ก็จะเป็นการผิดกฎหมาย หรือถ้าหากเป็นเจ้าพ่อก็ต้องมาดูว่านำมาใช้การเลือกตั้งหรือไม่

กกต. ไม่ได้มีหน้าที่ไปปราบเจ้าพ่อ กกต. มีหน้าที่ทำให้ผู้สมัครเคารพกฎหมายในการเลือกตั้ง ต้องแบ่งกันให้ชัด เวลาเลือกตั้งเราก็ประสานกับทางตำรวจหรือฝ่ายบ้านเมือง ฝ่ายปกครองว่า เขาทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ความเป็นเจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพล ทำให้พื้นที่รู้สึกเกร็ง แต่ก็หาพยานหลักฐานได้ยาก ทุกการเลือกตั้ง ทุกการแข่งขัน มีคนอยากชนะ และเกมแบบนี้มีแต่ผู้แพ้ผู้ชนะไม่มีเสมอ ค้นหาช่องทางที่จะทำเกินกว่ากฎหมายตลอดเวลา และอาจจะทำในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น เราต้องไปเสาะหาพยานหลักฐาน ทุกการเคลื่อนไหวเราทราบ แต่การหาพยานหลักฐานยากมาก”

แสวง บุญมี


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active