2 ปี ถ่ายโอน ‘รพ.สต.​แม่ข่า’ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ สู่มือ อบจ. มองโอกาสยกระดับระบบสุขภาพท้องถิ่น

เผยการทำงานในระบบ อบจ. ยืดหยุ่นกว่า ช่วยเดินหน้าลดการกระจุกตัวผู้ป่วยใน รพ.รัฐ พัฒนาระบบควบคุม ป้องกันโรค NCDs หลังพบสถานการณ์น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต หวัง นายก อบจ.คนใหม่ ทุ่มงบฯ ซื้อเครื่องฟอกไตเพิ่ม ดันสร้าง รพ.ฝาง สาขา 2 รองรับประชากรแฝง 

ช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ ที่ 1 ก.พ. 68 The Active ลงพื้นที่สำรวจปัญหาด้านสาธารณสุขของชาวเชียงใหม่ที่ อ.ฝาง โดย โสดาบัณ อุตมะแก้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ข่า (รพ.สต.แม่ข่า) ซึ่งถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุข มาสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงเชียง เปิดเผยว่า ปัญหาสุขภาพที่พบส่วนมากในปัจจุบันคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ป่วยต้องไปรับยาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่ชาวบ้านเผชิญคือการเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งก่อนหน้านี้จะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลฝาง ตั้งแต่ ตี 4 ซึ่งใช้เวลานาน บางครั้งต้องรอคิวนานจนถึง 2-3 ทุ่ม 

ปัญหาหลักคือการกระจุกตัวของผู้ป่วยในโรงพยาบาลเดียวกัน ทำให้เกิดความล่าช้าในการรับบริการ หลังจากที่ รพ.สต.แม่ข่า ได้รับการถ่ายโอนอยู่กับ อบจ. ก็ช่วยลดปัญหานี้ได้ระดับหนึ่ง ตอนเริ่มต้นเรารับผู้ป่วยมาให้บริการประมาณ 300 กว่าคน ซึ่งช่วงนั้นยังมีบุคลากรน้อย มีพยาบาลเพียง 1-2 คน จึงเป็นปัญหาในการให้บริการที่เพียงพอ

หลังการถ่ายโอน รพ.สต.เริ่มแก้ไขปัญหาเรื่องบุคลากร รพ.สต. มีแพทย์ประจำ มีพยาบาล มีห้องแล็บตรวจเลือด นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มบุคลากรวิชาชีพอื่น ๆ อีกด้วย 

โสดาบัณ อุตมะแก้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ข่า

ผู้อำนวยการ รพ.สต.แม่ข่า บอกอีกว่า แม้บุคลากรจะเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องพัฒนาให้บริการครบวงจรยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านอย่างแท้จริง ต้องมีแพทย์และบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น เพื่อลดต้นทุนด้านสุขภาพและลดเวลาที่ชาวบ้านต้องเสียไปกับการเดินทางมารับการรักษา

“เราได้เริ่มทำ CUP split โดยการขอเซ็นสัญญากับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ เราได้เพิ่มแพทย์ อนามัย นักกายภาพบำบัด และบุคลากรอื่น ๆ เข้ามา ทำให้มีมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยที่เทียบเท่ากับโรงพยาบาล” 

โสดาบัณ อุตมะแก้ว

โดยเฉพาะเรื่องของยา ซึ่งเดิมที รพ.สต. มีรายการยาเพียงประมาณ 98 รายการ แต่หลังจากที่เราเริ่ม CUP split ก็ทำให้ได้เพิ่มยามากขึ้นเป็นกว่า 200 รายการ ทำให้ผู้ป่วยสามารถมารับบริการได้อย่างครบวงจรที่นี่ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลไกล ๆ

รพ.สต.แม่ข่า ยังได้จัดตารางเวลาที่เหมาะสมเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวบ้าน เช่น การเจาะเลือดที่สามารถทำในช่วงเช้า และผู้ป่วยสามารถมารับยาได้ในช่วงเวลาที่สะดวก ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียเวลามากและสามารถกลับไปทำงานประจำได้ตามปกติ

เครื่องฟอกไต อ.ฝาง มีไม่เพียงพอ  

ผู้อำนวยการ รพ.สต.แม่ข่า ระบุอีกว่า ปัญหาโรค NCDs ในพื้นที่มีความรุนแรงมาก ในปีแรกที่เริ่มบริหารแบบ CUT Split แยกออกมากจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า สัดส่วนการซื้อยาสำหรับโรค NCDs คิดเป็น 50% ของการใช้ยาทั้งหมด เมื่อเก็บข้อมูล ก็พบว่ามีผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาโรค NCDs เพิ่มขึ้นทุกปี ในปีงบประมาณ 2567 ใช้เงินซื้อยารวมประมาณ 11 ล้านบาท ซึ่งเป็นยาสำหรับโรค NCDs ถึงประมาณ 6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

“ทำให้เราตระหนักว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปโดยไม่ควบคุม ระบบสุขภาพของพี่น้องประชาชนที่เราดูแลอยู่มีโอกาสที่จะล่มสลาย เนื่องจากยาสำหรับโรค NCD มีมูลค่าที่สูงและจำเป็นต้องใช้ต่อเนื่องทุกปี”

โสดาบัณ อุตมะแก้ว

ใน อ.ฝางขณะนี้มีปัญหาเรื่องเครื่องฟอกไตไม่เพียงพอ โดยปัจจุบันโรงพยาบาลฝางมีเครื่องฟอกไตอยู่ประมาณ 16 เครื่อง ซึ่งเต็มอัตรากำลังการให้บริการอยู่แล้ว แต่ยังมีผู้ป่วยที่ต้องรอคิวอีกประมาณ 63 คน ซึ่งเป็นปัญหาที่รับทราบและพยายามแก้ไขมาโดยตลอด

พ่อหลวงแม็ก วัย 47 ปี ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก และไตวายเรื้อรัง กับแม่วัย 69 ปี ที่ต้องเป็นผู้ดูแล

ผู้ป่วยโรคไต วอนผู้บริหาร อบจ.ใส่ใจปัญหาสุขภาพคนในพื้นที่

พ่อหลวงแม็ก อายุ 47 ปี เป็นหนึ่งในผู้ป่วย 63 คน ที่ต้องต่อคิวรอเครื่องฟอกไตของโรงพยาบาลฝาง เปิดเผยกับ The Active ว่า เริ่มฟอกไตมาได้ 2 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการฟอกไตทางช่องท้อง แต่ต้องการฟอกไตด้วยเครื่องมากกว่า เนื่องจากมีประสิทธิภาพดีกว่า ทว่าเครื่องฟอกไตที่โรงพยาบาลฝางมีจำนวนไม่เพียงพอ ทำให้ต้องรอคิวเป็นเวลานาน

ปัจจุบันเขาต้องพึ่งพาแม่ วัย 69 ปี คอยดูแล เนื่องจากป่วยหลายโรคร่วมทั้ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดในสมองแตก (Stroke) ซึ่งทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขายอมรับว่าพฤติกรรมการกินในอดีตที่ไม่ระมัดระวัง รวมถึงปัจจัยพันธุกรรม เนื่องจากครอบครัวฝั่งพ่อมีประวัติโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสุขภาพในปัจจุบัน

พ่อหลวงแม็ก เริ่มป่วยจากโรคเบาหวาน ก่อนพัฒนาไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดในสมองแตก จนท้ายที่สุดกลายเป็นไตวายเรื้อรัง ต้องฟอกไตตลอดชีวิต เขายอมรับว่า ช่วงแรกที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเต็มที่ เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระต่อครอบครัว ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ ครอบครัวจึงช่วยปลอบโยนและให้กำลังใจจนสามารถมองชีวิตในแง่บวกได้มากขึ้น

สิ่งที่เขาอยากฝากถึงผู้บริหาร อบจ. คือ ขอให้ใส่ใจปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนเครื่องฟอกไตให้เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากผู้ป่วยในพื้นที่มีจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แม้ปัจจุบันจะมีความคืบหน้าในด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การมีแพทย์และพยาบาลมาเยี่ยมบ้าน ซึ่งช่วยให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้น แต่ยังคงมีความต้องการในการพัฒนาระบบสาธารณสุขเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทั่วถึงมากกว่านี้

กรณีนี้ ผู้อำนวยการ รพ.สต.แม่ข่า บอกว่า เบื้องต้นพยายามประสานงานให้ผู้ป่วยที่มีกำลังทรัพย์ไปรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลในตัวเมือง แต่สำหรับผู้ที่ยังต้องรอคิว ก็ได้นำเรื่องนี้เสนอให้ผู้บริหาร อบจ. ทราบแล้ว และขณะนี้มีแผนที่จะสร้างศูนย์ฟอกไตของ อบจ. ในปี 2568 ซึ่งจะมีเครื่องฟอกไตประมาณ 40 เครื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด โดยแผนนี้ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการทำงานในระบบของ อบจ. มีความยืดหยุ่น สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว  

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ NCDs ในพื้นที่ฝาง ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 60,000 คน ซึ่งจากการคัดกรอง พบว่า เกือบ 10,000 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือพูดง่าย ๆ คือ ในทุก 6 คนที่เดินมา จะมี 1 คนที่เป็นความดันโลหิตสูง ยิ่งกว่านั้นคือ อายุของผู้ป่วยโรคเหล่านี้ลดลงจากเดิมที่เคยคัดกรองตั้งแต่อายุ 45 ปี มาเป็น 35 ปี และในอีก 10 ปี เราต้องเริ่มคัดกรองตั้งแต่อายุ 15 ปี เพราะปัญหานี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วัยรุ่น ส่งผลให้มีภาวะไตเสื่อมมากขึ้นตามไปด้วย

พฤติกรรมการกิน วิถีชีวิตเปลี่ยน ต้นตอปัญหา โรค NCDs อ.ฝาง

โสดาบัณ อธิบายอีกว่า เวลานี้ อ.ฝาง กำลังเปลี่ยนเข้าสู่สังคมเมือง ทำให้รูปแบบการบริโภคเปลี่ยนไป คล้ายกับที่อื่น ๆ ในประเทศไทย เช่น การบริโภคน้ำตาล โซเดียม และแป้งที่เกินความจำเป็น รวมถึงกิจวัตรประจำวันที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานมากนัก เดิมทีคนอาจจะทำงานภาคเกษตรที่ต้องใช้แรงงาน แต่ตอนนี้งานส่วนใหญ่เป็นงานออฟฟิศ ทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยลง ส่งผลให้โรค NCDs แพร่หลายมากขึ้น

“ตอนนี้เรามุ่งเน้นเรื่องการคัดกรองผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เราค้นหาผู้ป่วยตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม และสำหรับผู้ที่ยังไม่ป่วยรุนแรง เราจะเริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน โดยไม่ใช้ยา ส่วนกลุ่มที่ป่วยแล้ว เราจะดูแลเรื่องการควบคุมโรคและการใช้ยา และสำหรับผู้ป่วยที่ป่วยมานาน เราจะดูว่ามีโอกาสปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อฟื้นฟูสุขภาพได้หรือไม่” 

โสดาบัณ อุตมะแก้ว

ผู้อำนวยการ รพ.สต.แม่ข่า ยอมรับเลยว่า โชคดีที่ตัดสินใจถ่ายโอนมาอยู่กับ อบจ. เพราะได้รับการสนับสนุนงบประมาณที่สามารถแยกการใช้งานได้ชัดเจน เช่น งบส่งเสริมและป้องกันโรค ก็นำไปใช้ในการส่งเสริมสุขภาพอย่างเต็มที่ ส่วนงบการรักษาก็แยกออกมาเป็นอีกส่วนหนึ่ง นี่ถือเป็นมิติใหม่ที่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดไป

หวังยกระดับ รพ.สต. เป็นศูนย์การแพทย์ด้านสาธารณสุข  

โสดาบัน ยังเปิดเผยถึงแผนการวางระบบ Medical Care และ Health Care ที่ชัดเจน โดยอาศัยงบประมาณจาก อบจ. เพื่อดำเนินการซึ่งปกติแล้ว รพ.สต. จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพเป็นหลัก แต่ด้วยบริบทในปัจจุบัน พบว่า ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น การทำงานส่งเสริมสุขภาพเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ จึงต้องหันมาเน้นการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนก่อน โดยเน้นลดค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระกับประชาชน

ในปีที่ผ่านมา ได้เร่งพัฒนาด้านการจัดการเรื่องยาและบริการต่าง ๆ ให้ครบถ้วน โดยเปิดบริการจัดซื้อยาครบทุกประเภท และมีแพทย์เข้ามาตรวจรักษาที่ รพ.สต. ในเครือข่ายของเราอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการบริการทันตกรรมที่เปิดให้บริการถึงเที่ยงคืน ซึ่งช่วยให้ประชาชนได้รับการรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

“หลังจากที่วางระบบการรักษาพยาบาลครบถ้วนแล้วภายใน 1-2 ปี เราจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาในอนาคต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพให้สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนได้ การส่งเสริมสุขภาพเป็นสิ่งที่ยาก เพราะต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองโดยไม่พึ่งยา” 

โสดาบัณ อุตมะแก้ว

ทั้งนี้ รพ.สต.แม่ข่า กำลังสร้างระบบใหม่ที่เน้นการสร้างพฤติกรรมที่ดีของประชาชนก่อนที่จะต้องแก้ไขด้วยการรักษา ซึ่งโชคดีที่มีทีมงานรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเสริม เช่น แพทย์ เภสัชกร และบุคลากรอื่น ๆ ที่มีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพ โดยไม่เพียงแค่พูดว่าจะเน้นการ “สร้างนำซ่อม” แต่ได้ลงมือทำจริง เพื่อสร้างระบบที่เน้นการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพก่อนที่จะเกิดปัญหา

มองโอกาสถ่ายโอน รพ.สต. ในมือ อบจ. แก้ปัญหาสุขภาพท้องถิ่น

ผู้อำนวยการ รพ.สต.แม่ข่า ยังเล่าว่า เมื่อก่อนตอนสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้งบประมาณมาจากแหล่งเดียว ซึ่งบางครั้งไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ท้องถิ่นเองถึงแม้จะมีงบประมาณ แต่ก็อาจจะไม่เข้าใจปัญหาสุขภาพในพื้นที่มากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจให้กับ อบจ. ทำให้ปัญหาต่าง ๆ สามารถถูกนำเสนอและได้รับการสนับสนุนได้อย่างตรงจุด

ยกตัวอย่างเช่น โครงสร้างพื้นฐาน บางครั้งไม่ต้องใช้งบประมาณจากส่วนค่าบริการอื่น ๆ แต่สามารถใช้งบฯ จาก อบจ. ได้ เช่น การซ่อมแซม หรือต่อเติมอาคารสถานที่ที่ใช้ในการบริการ การปรับปรุงระบบต่าง ๆ เช่น เครื่องมือทางการแพทย์ หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ 13 เครื่อง เพื่อให้คลังยามีมาตรฐานที่ดีขึ้น อบจ. ก็สามารถสนับสนุนงบประมาณให้ได้

อบจ. มีความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณ สามารถเข้ามาช่วยเหลือภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้กระบวนการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่างจากกระทรวงสาธารณสุขที่งบประมาณมีข้อจำกัดมากกว่า ดังนั้น การก่อสร้างหรือปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันจึงมาจากการสนับสนุนของ อบจ. เช่น การซื้อยา วัคซีน หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางส่วนที่ขาดงบประมาณ อบจ. ก็สามารถจัดหาให้ได้ ถือเป็นความร่วมมือที่ช่วยยกระดับการบริการสาธารณสุขในพื้นที่อย่างแท้จริง

“สิ่งสำคัญที่อยากฝากถึง อบจ.คนใหม่ คือ การมีผู้บริหารที่ใส่ใจในระบบสุขภาพของประชาชน และการมีวิสัยทัศน์ในการวางงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น ผู้บริหารที่มาจากประชาชนจะเข้าใจถึงความจำเป็นของการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณเพื่อประชาชน แม้ว่าจะต้องขาดทุนในบางกรณี” 

โสดาบัณ อุตมะแก้ว

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงใหม่มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้งหมด 267 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 อบจ.เชียงใหม่ ได้รับการถ่ายโอน รพ.สต. จำนวน 62 แห่ง  และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีการถ่ายโอนเพิ่มเติมอีก 13 แห่ง  รวมเป็น 75 แห่ง คิดเป็นประมาณ 28.09% ของ รพ.สต. ทั้งหมดในจังหวัดเชียงใหม่

แผนอนาคต ตั้งโรงพยาบาล อบจ. ที่ อ.ฝาง 

ช่วงท้าย โสดาบัณ ยังได้เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้น อบจ.ได้พิจารณาว่า อ.ฝาง ซึ่งติดกับชายแดน มีความจำเป็นที่จะต้องมีโรงพยาบาลเพิ่มเติม เนื่องจากโรงพยาบาลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โรงพยาบาลฝาง มีอัตราการครองเตียงสูง เพราะประชาชนแฝงที่เข้ามาใช้บริการมีจำนวนมาก ทำให้เตียงไม่เพียงพอ ประกอบกับมีปัญหาเงินบำรุงขาดทุนสะสมถึงกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันประชากรแฝงในพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 30,000 – 40,000 คน ส่งผลให้ชาวบ้านบางส่วนอาจไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีหรือเผชิญกับความหนาแน่นของผู้ป่วยในโรงพยาบาล

อบจ. มีศักยภาพในการจัดตั้งโรงพยาบาลเพิ่มเติม เพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นกว่า เช่น การจ้างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ที่เกษียณแล้วมาร่วมงาน ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นได้

“อนาคต เราวางแผนที่จะสร้างระบบที่เชื่อมโยงระหว่างการรักษาพยาบาล (Medical Care) และการส่งเสริมสุขภาพ (Health Care) ให้สอดคล้องกัน เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์โรค NCD (Non-Communicable Diseases) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อัตราการครองเตียงของผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นแน่นอน ดังนั้น เราต้องเร่งพัฒนาทั้งสองระบบนี้ควบคู่กัน”

โสดาบัณ อุตมะแก้ว ทิ้งท้าย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active