กำนันเชิงดอย จ.เชียงใหม่ เผยฆ่าตัวตาย 3 ศพใน 3 ปี หนุนคัดกรองสุขภาพจิตเชิงรุก

ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย-ครอบครัวแยกย้าย-ช่องว่างระหว่างวัย จิตแพทย์-พยาบาลจิตเวช เสนอ ใช้เครื่องมือคัดกรองเชิงรุก พร้อมเรียกร้องผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ จัดสรรงบประมาณแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน



ช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ ที่ 1 ก.พ. 68 The Active ลงพื้นที่สำรวจปัญหาด้านสาธารณสุขของชาวเชียงใหม่ที่ อ.ดอยสะเก็ด 

โสรัตยา บัวชุม กำนันตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตำบลเชิงดอยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในอำเภอ ในฐานะผู้นำชุมชน ไม่อาจนิ่งเฉยได้ มองเป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไข

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้ฆ่าตัวตาย 3 คน เป็นผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน การฆ่าตัวตายทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เช่น การบ่นเรื่องความท้อแท้หรือแสดงอาการสิ้นหวัง ทำให้คนรอบข้างไม่ทันตั้งตัว

“ช่วงนั้น ยังเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็รู้สึกกังวลและสงสัยว่าปัญหานี้อาจเกิดจากปัจจัยหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจที่ถดถอย การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือผลกระทบจากโควิด-19”

โสรัตยา กล่าว 

เธอกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ส่งผลกระทบ เช่น การเปลี่ยนจากครอบครัวใหญ่เป็นครอบครัวเล็ก ทำให้ผู้สูงอายุและเด็กมักอยู่ตามลำพัง รวมถึงช่องว่างระหว่างวัยที่เพิ่มขึ้น

“เด็กวัยรุ่นมักได้รับอิทธิพลจากเพื่อน ขณะที่ผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจเทคโนโลยีและมีความคิดแบบเดิมๆ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันในครอบครัว คนที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ในพื้นที่มักเป็นผู้สูงอายุ”

โสรัตยา กล่าว 

และ เมื่อได้รับทราบว่ามีหลักสูตรที่ช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตและสามารถลดอัตราการฆ่าตัวตายได้ เธอจึงสนใจและตัดสินใจสมัครเรียนหลักสูตรนี้ ซึ่งจัดโดยคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ในหลักสูตรมีทั้งการเรียนทฤษฎีและการปฏิบัติ โดยมีผู้เรียนทั้งหมด 40 คน และแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ สำหรับอำเภอดอยสะเก็ด มีผู้เรียนทั้งหมด 5 คน โดยมีอาจารย์วรังคณา หรือที่เรียกว่า “อาจารย์ต้อย” เป็นพี่เลี้ยง

หลังจากเข้าร่วมหลักสูตร เธอได้รับองค์ความรู้ใหม่ เช่น การใช้เครื่องมือประเมินสุขภาพจิตที่ช่วยคัดกรองผู้ป่วยและแยกระดับความรุนแรงของปัญหา เพื่อส่งต่อการรักษาไปยังโรงพยาบาล

“เครื่องมือที่เราได้รับช่วยให้เราประเมินได้ว่าใครมีปัญหาสุขภาพจิต และสามารถดูแลพวกเขาหลังจากได้รับการรักษา เช่น การให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางจิตใจ เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยว”

โสรัตยา กล่าว 

นอกจากนี้ ยังผลักดันให้คนในชุมชนเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น ลดการบูลลี่หรือการเลือกปฏิบัติ พร้อมกับประสานงานกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการดูแลผู้ป่วย

กำนัน ต.เชิงดอย คาดหวังว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของจังหวัด

“อยากให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลสุขภาพจิตอย่างจริงจัง ช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตาย คืนความสุขให้กับชุมชน และทำให้คนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” โสรัตยา กล่าว 

หนุนคัดกรองสุขภาพจิต สร้างความเข้าใจ “อยากตาย=ป่วยต้องไปหาหมอ” 

ด้าน พว.วรางคณา เผ่าวงศา พยาบาลจิตเวชเกษียณ ในฐานะอาจารย์พี่เลี้ยงหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชในชุมชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด ที่ตนดูแลมาตั้งแต่ทำงานเป็นพยาบาล และแม้จะเกษียณมา 7 ปีแล้ว ปัญหากลับรุนแรงขึ้นมาก ปัจจัยสำคัญมาจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ประชาชนมีความเครียดสูง พอความเครียดสะสมก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า คนตกงาน สูญเสียคนรัก หรือเผชิญความยากลำบากในชีวิต สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความคิด ทำให้หลายคนเกิดความคิดอยากตาย

ปัจจุบัน อำเภอดอยสะเก็ดติดอันดับ 1-5 ของจังหวัดเชียงใหม่ในเรื่องปัญหาสุขภาพจิต และจังหวัดเชียงใหม่เองก็ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยด้านนี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมาก

การให้ความรู้แก่ครอบครัวและชุมชนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหลายคนยังไม่เข้าใจว่าโรคทางจิตเวช โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ หากเราสามารถตรวจจับได้ตั้งแต่ระยะแรก (Early Detection) โดยใช้เครื่องมือคัดกรองของกรมสุขภาพจิต และส่งต่อการรักษาได้เร็ว ผู้ป่วยจะได้รับยาและการดูแลที่เหมาะสม

แต่การรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการดูแลจิตใจของผู้ป่วยร่วมด้วย ทั้งจากครอบครัวและชุมชน โดยเฉพาะการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญในยุคปัจจุบัน หากคนในชุมชนเข้าใจและช่วยเหลือกัน ปัญหาจะลดลงอย่างมากค่ะ

วอนเลือกตั้ง อบจ. สนใจปัญหาสุขภาพจิต 

เมื่อถามว่า อบจ. หรือองค์กรท้องถิ่นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพียงพอหรือยัง พว.วรางคณา บอกว่า เท่าที่ผ่านมา มองว่ายังไม่เพียงพอ งบประมาณสนับสนุนจาก อบจ. ยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่พึ่งงบจาก สปสช. ซึ่งช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถสร้างทักษะการดูแลผู้ป่วยในชุมชนได้อย่างยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น หลักสูตรของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราใช้เวลาฝึกอบรมถึง 4 เดือน โดยเน้นการฝึกปฏิบัติในชุมชนเพื่อประเมินปัญหา คัดกรอง และจัดการอย่างมีระบบ การอบรมเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอค่ะ ต้องลงพื้นที่จริงเพื่อฝึกทักษะ

อบจ. ควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนงบประมาณอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนและ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ให้สามารถช่วยคัดกรอง เฝ้าระวัง และส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว

“ดิฉันอยากฝากความหวังไว้กับผู้สมัครนายก อบจ. คนใหม่ค่ะ ขอให้เห็นความสำคัญของ “คน” และการพัฒนาสุขภาพจิตของประชาชน เพราะหากมนุษย์มีจิตใจที่แข็งแรง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชุมชน คล้ายกับใยแมงมุมที่ขยายออกไปเรื่อย ๆ” พว.วรางคณา ระบุ

พว.วราคณา ย้ำว่า ชุมชนที่สุขภาพจิตดีจะเข้มแข็ง ไม่เกิดความขัดแย้ง ไม่เป็นพิษ เหมือนชุมชนที่เต็มไปด้วยความเครียด การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้คนในชุมชนสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เงินอย่างเดียวไม่ช่วย ต้องสร้างความสุขและคุณค่าในชีวิตให้กับคนในชุมชน

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุ สถิติการฆ่าตัวตายในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของประเทศมาโดยตลอด ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 250 คน และมีผู้พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จอีกประมาณ 600 คน ซึ่งเป็นสถิติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง ระบุว่า ที่ผ่านมาตัวเลขการฆ่าตัวตายสำเร็จยังคงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) แม้ว่ากลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน (20-60 ปี) จะมีอัตราการเกิดปัญหาทางสุขภาพจิตสูง แต่เมื่อดูตัวเลขการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย กลุ่มผู้สูงอายุมีอัตราสูงที่สุด ดังนั้นแนวทางป้องกันต้องครอบคลุมทุกช่วงวัย และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

อบจ. สามารถเข้ามามีบทบาทได้โดยเฉพาะในเรื่องของการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต ซึ่งที่ผ่านมาการเข้าถึงบริการยังไม่ทั่วถึงมากพอ อาจเนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือข้อจำกัดด้านการเดินทาง

นอกจากนี้ การป้องกันในระดับชุมชนมีความสำคัญอย่างมาก ที่ผ่านมา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ช่วยเหลือในกรณีเร่งด่วน เช่น การเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่พยายามกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หรือการช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม อย่างไรก็ตาม แนวทางการป้องกันในระยะยาวควรเน้นไปที่การส่งเสริมสุขภาพจิตและให้ความรู้แก่ประชาชน

เหตุใดปัญหาสุขภาพจิตในเชียงใหม่จึงไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก?

เมื่อถามว่า แม้เชียงใหม่จะมีอัตราการฆ่าตัวตายสูง แต่ดูเหมือนว่าปัญหานี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เป็นเพราะเหตุใด ? นพ.กิตต์กวี บอกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการรับรู้ของสังคมเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตยังมีข้อจำกัด หลายคนมองว่าการพูดถึงปัญหานี้เป็นเรื่องต้องห้าม หรือมีตราบาป ทำให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตไม่กล้าเปิดเผยหรือขอความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของเรื่องนี้คือการป้องกันและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ไข

เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีภาพลักษณ์ในเชิงบวก ดังนั้นการพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตอาจไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมามากนัก อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อมิติอื่นๆ เช่น ภาคการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของเมือง

แนวทางที่ อบจ. สามารถดำเนินการได้หาก อบจ. มีงบประมาณมากพอ นพ.กิตต์กวี แนะว่า มีหลายแนวทางที่สามารถดำเนินการด้านสุขภาพจิตได้ เช่น

1. การส่งเสริมสุขภาพจิตตั้งแต่วัยเด็ก – การปลูกฝังทักษะด้านสุขภาพจิตตั้งแต่ปฐมวัย เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นในอนาคต

2. การสร้างความตระหนักรู้ในสังคม – การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตและลดตราบาป จะช่วยให้ประชาชนกล้าเข้าถึงบริการสุขภาพจิตมากขึ้น

3. การพัฒนาระบบคัดกรองในชุมชน – ควรสนับสนุนให้มีการใช้เครื่องมือคัดกรองโรคซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตในระดับชุมชน โดยใช้งบจากกองทุนสุขภาพท้องถิ่น เช่น กองทุนบัตรทอง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในโครงการคัดกรองเชิงรุกได้

4. การเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านสุขภาพจิต – ปัจจุบันจำนวนจิตแพทย์และบุคลากรด้านสุขภาพจิตยังไม่เพียงพอ หากสามารถสนับสนุนให้มีนักจิตวิทยา พยาบาลจิตเวช และอาสาสมัครด้านสุขภาพจิตในชุมชนเพิ่มขึ้น จะช่วยให้การเข้าถึงบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. การเชื่อมโยงบริการสุขภาพจิตกับหน่วยงานต่างๆ – อบจ. สามารถทำงานร่วมกับโรงพยาบาล หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมมากขึ้น

ความพร้อมของระบบบริการสุขภาพจิตในเชียงใหม่

ถามต่อว่า หากมีการคัดกรองมากขึ้น ระบบบริการสุขภาพจิตของเชียงใหม่มีความพร้อมในการรองรับหรือไม่  นพ.กิตต์กวี บอกว่า ปัจจุบันเชียงใหม่มีโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านสุขภาพจิตหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลสวนปรุง โรงพยาบาลนครพิงค์ และโรงพยาบาลจอมทอง รวมถึงมีพยาบาลจิตเวชที่ทำงานในชุมชน อย่างไรก็ตาม จำนวนบุคลากรโดยเฉพาะจิตแพทย์ยังไม่เพียงพอ

เราพยายามพัฒนาแนวทางอื่น ๆ เพื่อรองรับ เช่น การให้คำปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ การฝึกอบรมอาสาสมัครชุมชน และการใช้แบบคัดกรองที่ประชาชนสามารถทำได้เอง หากพบว่ามีความเสี่ยงก็สามารถติดต่อหน่วยบริการได้โดยตรง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active