‘วีรศักดิ์’ เผยน้ำจาก 3 ทิศทางทำให้ระบายน้ำยาก น้ำนองสูงเป็นวง อุปสรรคส่งกำลังบำรุง มองเป็นเหมือน “นาฬิกาปลุก” ให้ตื่นตัววางแผนภัยพิบัติแห่งชาติอย่างจริงจัง พร้อมสถาปนาระบบสื่อสารสั่งการ ซ้อมภัยจริงจัง
สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ยังคงวิกฤต โดยเฉพาะพื้นที่ หาดใหญ่ จ. สงขลา ขณะที่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ รวมถึงเอกภาพในการให้ความช่วยเหลือของหลายหน่วยงาน ทำให้เกิดความสับสนอยู่บ้าง แม้จะมีการแต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติแล้ว
The Active พูดคุยกับ วีรศักดิ์ โควสุรัตน์ เลขาธิการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากการลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พูดถึงความท้าทาย และแนวทางแก้ไขในการบรรเทาวิกฤตอุทกภัยใหญ่ครั้งนี้
วีรศักดิ์ กล่าวว่า จากพื้นที่หาดใหญ่ว่า สถานการณ์น้ำท่วมนี้มีความซับซ้อนจากปัจจัยน้ำ 3 ส่วนที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ได้แก่ น้ำฝนที่ตกหนักในเขตเมือง น้ำหลากลงมาจากภูเขา และน้ำทะเลหนุนสูงทำให้ทะเลสาบสงขลาระบายน้ำได้ไม่เร็ว น้ำจากทั้งสามทิศทาง จึงทำให้การจัดการระบายน้ำเกิดขึ้นได้ยาก
อีกหนึ่งปัจจัยหลักของน้ำท่วมครั้งนี้ ที่ทำให้การให้ความช่วยเหลือทำได้ยาก วีรศักดิ์ชี้ถึงมวลน้ำที่ท่วมไม่สม่ำเสมอตามพื้นที่ต่าง ๆ ของหาดใหญ่ การเดินทางลงพื้นที่ส่วนต่าง ๆ จึงทำได้ยาก
“น้ำนองสูงไม่ได้ท่วมทุกพื้นที่ น้ำนองเป็นวง ๆ ทำให้การส่งกำลังบำรุงเข้าถึงได้ยาก เรือวิ่งได้ในส่วนที่เป็นน้ำ แต่พอเจอพื้นที่แห้งก็ไปต่อไม่ได้ ต้องเดินเท้าขนเรือ” วีรศักดิ์อธิบาย
นอกจากนี้ พื้นที่หาดใหญ่ยังมีกำแพงริมคลองจำนวนมาก ยังเป็นอุปสรรคทำให้น้ำฝนระบายลงคลองได้ไม่รวดเร็ว ส่งผลให้น้ำยังคงขังในตัวเมือง วีรศักดิ์ชี้ถึง “คลองอู่ตะเภาและคลอง ร.1 น้ำไหลระบายออกไปได้ไม่เร็วนัก”
ปฏิบัติการช่วยเต็มสูบ กับ ช่องโหว่ของการบริหารจัดการ
มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก ได้ส่งกำลังช่วยเหลือหลายด้าน โดยร่วมกับกองบินทหารอากาศ ใช้ เครื่องบิน C-130 เพื่อเข้าถึงพื้นที่ นำคนออกจากพื้นที่เสี่ยงสู่พื้นที่ปลอดภัย และนำอาหารพร้อมรับประทาน 12,000 ชุดเข้าแจกจ่ายในพื้นที่หาดใหญ่ พร้อมทั้งทำงานกับเครือข่ายต่าง ๆ เช่นสมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย ที่มีจิตอาสาเจ็ตสกีเข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงอาสาสมัครที่เดินทางมาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ร่วมมือกับมูลนิธิฯ
จากประสบการณ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอดีต มูลนิธิฯ จึงได้บทเรียน และให้ความสำคัญกับข้าวของเครื่องใช้นอกเหนือจากอาหาร นั่นคือ ได้มีการแจกจ่ายถุงมือยางสำหรับแม่ครัวอาสาหลักร้อยคนที่ต้องทำครัวในชุมชน และมอบส้วมกระดาษหลายร้อยชุดสำหรับพื้นที่ที่จำเป็น ซึ่งเป็นข้าวของที่ก็มีความต้องการมากไม่แพ้กับอาหาร ในเหตุการณ์ที่ยังมีคนตกค้างอยู่ในพื้นที่
“ขณะนี้ ความเร่งด่วนอยู่ที่ การเอาคนออกจากพื้นที่อันตรายมาพื้นที่ปลอดถัย แต่คำว่าพื้นที่ปลอดภัยในที่นี้ ต้องพิจารณาว่าจะปลอดภัยได้แค่ไหนเพราะว่าปริมาณน้ำยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ” วีรศักดิ์อธิบาย
ขณะนี้ภัยครอบคลุม 10 จังหวัด วีรศักดิ์แจ้งว่า มูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) จะเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ที่เรียกร้องมาก่อน ได้แก่ หาดใหญ่ ยะลา และนราธิวาส โดยมีกติกาให้ทุกหน่วยงานของมูลนิธิที่เข้าไปช่วยต้องรายงานตัวกับศูนย์บัญชาการจังหวัดที่มีผู้ว่าฯหรือนายอำเภอเป็นผู้ควบคุม
เมื่อถูกถามถึงข้อเสนอในการปรับปรุงระบบการช่วยเหลือ วีรศักดิ์เห็นด้วยกับการสถาปนาศูนย์บัญชาการและศูนย์สื่อสาร เพื่อให้ข้อมูลออกจากแหล่งเดียวไม่ก่อความสับสน หรืออย่างการแต่งตั้ง “ร.อ.ธรรมนัส” เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
วีรศักดิ์เล่าถึงประสบการณ์ของเขา “ตอนเป็นรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬา และมีการปิดสนามบินพร้อม ๆ กันสองแห่ง ชาวต่างชาติตกค้างสามแสนห้าหมื่นคน คนไทยกลับบ้านไม่ได้สองหมื่นคน ผมคิดว่าเรื่องแรกคือสถาปนาศูนย์บัญชาการ และศูนย์สื่อสาร ให้ข้อมูลข่าวสารออกจากแหล่งเดียว สื่อสารแล้วไม่ก่อให้เกิดความสับสัน”
“การมีรองนายกฯมาควบคุมเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว รองนายกฯสามารถสั่งการข้ามกระทรวงหรือข้ามหน่วยงานได้” เขากล่าว โดยยกตัวอย่างประสบการณ์จากเหตุการณ์แม่สายที่จำเป็นต้องใช้การบริหารจัดการข้ามหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เขาแนะนำว่าควรมีรัฐมนตรีประจำในพื้นที่อย่างน้อยหนึ่งหรือสองคน เพื่อทำงานระดับกลางและแก้ปัญหาที่ไม่ต้องรอรองนายกฯ “จะเป็นสามเหลี่ยมที่ขยับปัญหาได้ดีขึ้น” เขาระบุ
วีรศักดิ์ประเมินว่า นี่เป็นภัยน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่สุดในไทยหากไม่นับเหตุการณ์ปี 2554 โดยเทียบกับเหตุการณ์แม่สายเชียงรายที่ท่วมระดับตำบล ครั้งนี้เป็นการท่วมระดับกว้างที่มีประชากรหนาแน่น
“คนสี่แสนคนต้องอพยพ 100% เป็นประสบการณ์ที่ไทยอาจไม่เคยเจอมาก่อน” เขากล่าว พร้อมชี้ว่าภัยครั้งนี้ต่างจากสึนามิเพราะเกิดขึ้นในระยะที่ยาวกว่า การให้ความช่วยเหลือก็ยากกว่า
สำหรับคำถามที่ว่า ณ ตอนนี้ ไทยควรขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศหรือไม่ เขาระบุว่าเป็นอำนาจตัดสินใจของศูนย์สั่งการที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น
วีรศักดิ์มองว่า เหตุการณ์อุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ รวมถึงเหตุการณ์ภัยที่ผ่านมาอย่างน้ำท่วมแม่สายหรือน้ำท่วมขังภาคกลางเป็นเวลานาน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหมือน “นาฬิกาปลุก” ให้คนไทยตื่นตัวในการวางแผนภัยพิบัติแห่งชาติอย่างจริงจัง
“การวางแผนภัยพิบัติไม่ใช่แค่เรื่องในกระดาษต่อไป ต้องกระจายให้พื้นที่ท้องถิ่น ให้พื้นที่ที่มีปัญหาซ้ำซาก” เขาเน้น พร้อมเรียกร้องให้มีการเตรียมการ กำหนดพื้นที่ปลอดภัย สถาปนาระบบสื่อสารสั่งการ และฝึกอบรมซ้อมภัยอย่างจริงจัง
“ลองจินตนาการรายพื้นที่เลยครับ หากมีน้ำท่วมเข้ามาโครมเดียวทีละสองเมตร มันจะท่วมแค่ไหน เรากำลังจะพูดถึงจำนวนคนเท่าไหร่ ต้องเตรียมการยังไง พื้นที่ ปลอดภัยอยู่ที่ไหน และระบบการสถาปนาการสื่อสารสั่งการ ควรอยู่ที่ใด และเอาคนเหล่านั้นมาเข้ากระบวนการฝึกอบรม ซ้อมภัย”
“ภัยแบบนี้จะไม่หายไป มีแต่จะเพิ่มขึ้นเพราะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของคนที่รุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติมากขึ้น” เขากล่าวทิ้งท้าย
