“ถ้าชาวบ้านไม่เอา ก็ไม่ทำ” EEC แจงข้อกังวลดึง ‘ปราจีนบุรี’ ร่วมขบวน

‘เลขาฯ EEC’ เผย แนวคิดขยายพื้นที่สู่ จ.ปราจีนบุรี เป็นข้อเสนอ ‘หอการค้าฯ’ ยัน อุตสาหกรรมใหม่ เกิดขึ้นเฉพาะ อ.กบินทร์บุรี-ศรีมหาโพธิ ไม่กระทบชุมชนท่องเที่ยว การเกษตร มั่นใจขั้นตอนตรวจสอบ สกัดกลุ่มทุนจีนเทาได้ ย้ำ ฟังเสียงประชาชน หากส่วนใหญ่คัดค้าน ก็จะไม่ขยายพื้นที่ไป เชื่อ แค่ 3 จังหวัดก็ยังดำเนินการได้

ท่ามกลางกระแสการคัดค้านของประชาชนในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ต่อแนวคิดการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จาก 3 จังหวัดเดิม ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี และ ระยอง ไปยังจังหวัดที่ 4 คือ จ.ปราจีนบุรี จนทำให้ เครือข่ายภาคประชาชนในนาม “กลุ่มปราจีนเข้มแข็ง” ออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย เพราะกังวลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจะซ้ำรอยเดิม

ล่าสุด The Active ตรวจสอบความชัดเจนในประเด็นนี้กับ จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC เปิดเผยว่า แนวคิดการขยายพื้นที่ไปยังปราจีนบุรี เป็นข้อเสนอจากภาคเอกชน โดย หอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ได้เสนอผ่านนายกรัฐมนตรี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และต่อมาได้ถูกส่งต่อให้ EEC พิจารณาศึกษาความเหมาะสม หลังได้รับข้อเสนอ ได้ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษา ความเหมาะสม คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนนี้   

จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC

เลขาธิการ EEC ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาในปี 2561 ในเบื้องต้นถึงศักยภาพของ จ.ปราจีนบุรี การเป็นส่วนหนึ่งของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เนื่องจากมีความพร้อมในหลายด้านที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และการลงทุน รวมถึงความสามารถ เสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มโอกาสในการลงทุนระยะยาว ประกอบด้วย

  • ทำเลที่ตั้ง อยู่ในตำแหน่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภาคตะวันออก เชื่อมต่อกับพื้นที่ EEC อยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 130 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯ 170 กิโลเมตร รวมทั้งอยู่ใกล้ด่านชายแดนกัมพูชา (ด่านพรมแดนคลองลึก) 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการคมนาคมขนส่ง และเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีผังการใช้ประโยชน์ที่ดินที่กำหนดเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม

  • สภาพเศรษฐกิจ ของพื้นที่ ซึ่งเลขาฯ EEC ระบุว่า ปราจีนบุรี มีจีดีพีส่วนใหญ่จากภาคอุตสาหกรรม และมีลักษณะผสมผสานทั้งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม

  • โครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค มีระบบคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ 

  • ศักยภาพแรงงาน ซึ่งรวมถึงความพร้อมของสถานศึกษาที่สามารถผลิตและฝึกอบรมแรงงานรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ

เน้น อ.กบินทร์บุรี-ศรีมหาโพธิ ไม่ล้ำเขตท่องเที่ยว-เกษตรกรรม

เลขาธิการ EEC ยืนยันว่า หากขยายพื้นที่ไปยังปราจีนบุรีจริง จะเน้นเป็นอุตสาหกรรม S-Curve และจะจำกัดที่ตั้งไว้ในเขตที่มีพื้นฐานอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ได้แก่ อ.กบินทร์บุรี และ อ.ศรีมหาโพธิ โดยไม่ลุกล้ำไปในเขตพื้นที่เกษตรกรรมหรือเขตท่องเที่ยว เช่น โซนเขาใหญ่

“คงจะไม่ไปเบียดขนาดนั้น ก็เป็นเรื่องของการจัดโซนนิ่งใหม่ เราคงไม่ยอมให้เอาโรงงานไปอยู่แถวนั้นนะครับ เพราะอย่างน้อย มันก็ยังอยู่ใน อ.กบินทร์บุรี ไม่ย้ายไปอยู่ในอำเภออื่น ซึ่งมันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของปราจีนบุรีไปทางโซนเขาใหญ่”

จุฬา สุขมานพ


เลขาธิการ EEC ระบุด้วยว่า EEC ได้มองอุตสาหกรรมใหม่ที่ไปไกลกว่า อุตสาหกรรมการผลิต เช่น อุตสาหกรรมภาคบริการ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ การแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ซึ่งอาจต่อยอดไปสู่ธุรกิจเวลเนส และที่พักสำหรับผู้สูงอายุได้

เงื่อนไขเข้ม คัดนักลงทุน ปิดทาง ‘จีนเทา’

เมื่อถามถึงข้อกังวลของประชาชน เรื่องทุนจีน หรือ กลุ่มจีนเทา เลขาธิการ EEC ชี้แจงว่า หากโครงการได้รับการส่งเสริมจาก EEC ผู้ประกอบการต้องขอรับสิทธิประโยชน์ผ่านกระบวนการประเมินที่ละเอียด ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่

  1. ยุทธศาสตร์
  2. ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เช่น การจ้างงาน ใช้ทรัพยากรในพื้นที่
  3. สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
  4. ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“ถ้าผ่านเกณฑ์ ได้คะแนนเยอะ ก็จะได้สิทธิประโยชน์เยอะ ในตอนนี้เราจะมีการออกแบบตั้งแต่แรกว่า กิจกรรมนี้ใช้คนขนาดไหน ยังไง เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ ถ้าใช้กรอบ EEC จริง มองว่าเราสามารถจะลดปัญหา แน่นอนว่าอาจจะมีนักลงทุนจีน แต่ไม่เทา อาจจะขาวนะครับ

จุฬา สุขมานพ

พร้อมทั้งย้ำว่า EEC ยังมีมาตรการจำกัดวีซ่าและเวิร์กเพอร์มิตให้เฉพาะกรณีที่เหมาะสม และมีระบบติดตามตรวจสอบภาคอุตสาหกรรม พร้อมระบุว่า นักลงทุนส่วนใหญ่รู้ดีว่า “ต้องอยู่กับชาวปราจีน” และกิจการที่ไม่มีความรับผิดชอบ จะไม่สามารถอยู่ได้ในระบบที่มีการเฝ้าระวังและตรวจสอบ

“เชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นโจร เพราะเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาบ้านเรา ผมคิดว่า ณ ปัจจุบัน คนจะมาทำอุตสาหกรรมในเชิงทำลายนั้นก็รู้ดีว่าประเทศไทยเราไม่ต้อนรับ”

จุฬา สุขมานพ

ผลสัมฤทธิ์ พ.ร.บ. EEC ผ่านมา 7 ปี ยังไม่ประเมินเต็มระบบ

เมื่อถูกถามถึงรายงานผลสัมฤทธิ์ของการบังคับใช้ พ.ร.บ. EEC ซึ่งตามรัฐธรรมนูญต้องจัดทำภายใน 5 ปีหลังประกาศใช้ แต่ขณะนี้ผ่านมา 7 ปีแล้วยังไม่เกิดขึ้น เลขาธิการ EEC ยอมรับว่า การประเมินยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เนื่องจาก ในมาตราของ พ.ร.บ. EEC ต้องมีการออกกฎหมายลูก เช่น กฎหมายว่าด้วยขั้นตอนการตั้งเขตพิเศษ ซึ่งต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างน้อย 2 รอบ โดยเขาเปรียบเทียบว่า หากฟุตบอลต้องแข่ง 90 นาที ตอนนี้เราพึ่งเตะไปแค่ 15 นาที จะบอกว่าชนะหรือแพ้คงเร็วไป

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นผู้ดำเนินการจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ฉบับแรก และสำนักงาน EEC จะเปิดเผยต่อสาธารณะหลังผ่านการพิจารณาโดยคณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย โดยมีแนวคิดว่าอาจจะมีการทำผลสัมฤทธิ์อีกครั้งหลังจากนี้อีก 3 ปี

ถ้าชาวบ้านไม่เอา EEC ก็จะไม่ทำ

ท้ายที่สุด เลขาธิการ EEC ยืนยันว่า แม้จะมีการศึกษาและประเมินความเหมาะสม แต่ถ้าเสียงประชาชนส่วนใหญ่ใน จ.ปราจีนบุรี คัดค้าน ก็จะไม่มีการขยายพื้นที่ EEC เข้ามา

หากการรับฟังความเห็นคนปราจีนไม่เอา EEC ผมก็จะไม่ทำ เพราะผมทำงานง่ายขึ้นด้วยซ้ำ ผมไม่ต้องขยายพื้นที่ไปจุดอื่น ในพื้นที่ 3 จังหวัดก็ยังสามารถดำเนินการได้อยู่”

จุฬา สุขมานพ


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active