หวั่นกระทบเศรษฐกิจหนัก ยื่น 10 ข้อเสนอรัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นให้แรงงานกัมพูชา หลังแห่กลับประเทศกว่า 3 แสนคน
วันนี้ (7 ส.ค. 68) ที่กระทรวงแรงงาน เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ยื่นหนังสือถึง พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อชี้ข้อห่วงใยต่อสถานการณ์แรงงานกัมพูชาและข้อเสนอแนวทางการแก้ไขจากองค์กรภาคประชาสังคม

โดยเนื้อหาสำคัญ ระบุว่า จากเหตุการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบมาต่อเนื่องจนถึงวันนี้ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ พบว่า สาเหตุหลักที่ทำให้แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศครั้งนี้มาจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัยในภาวะที่มีเหตุพิพาทรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคลอันเนื่องจากปัจจัยเชิงชาตินิยม
แม้แรงงานส่วนใหญ่จะไม่มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกัมพูชา เรื่องการจัดให้แรงงานที่เดินทางกลับบ้านมีตำแหน่งงานที่เพียงพอ และค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อการยังชีพ แต่แรงงานก็ไม่มีความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย ที่จะอยู่ในประเทศไทยเช่นกัน เนื่องจากขาดการสื่อสารจากรัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับรองหรือมาตรการความปลอดภัยให้แรงงาน
ปัจจุบันแรงงานกัมพูชา เดินทางกลับประเทศกว่า 300,000 คนแล้ว และยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน กระทรวงแรงงานประกาศแนวความเห็นเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยการนำเข้าแรงงานจากประเทศศรีลังกาแทน เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ เห็นด้วยว่า เมื่อมีความขาดแคลนแรงงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแรงงานทดแทนแต่สำคัญเร่งด่วนกว่า คือการหยุดการไหลออกของแรงงานเพื่อให้ประเทศไทย มีเวลาพอสมควรในการบริหารสถานการณ์ และลดความลดความเสี่ยงในการขาดแคลนแรงงานฉับพลัน
ความไม่ปลอดภัยของแรงงานกัมพูชาขยายวงกว้างมากขึ้น มีข้อมูลว่าแรงงานกัมพูชาถูกคุกคามต่อเสรีภาพ การทำร้ายร่างกายแม้ในพื้นที่ห่างไกลชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งพบว่า กลไกของรัฐหรือตำรวจไม่สามารถสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและเข้าถึงความยุติธรรมได้ การคุกคามที่พบแม้จะไม่มีความสูญเสียหรือบาดเจ็บร้ายแรง แต่สะท้อนว่าเป็นการก่อเหตุอันเหตุจากความเกลียดชังหรือ hate crime ซึ่งภาครัฐควรจะต้องตระหนักและมีเจตจำนงที่แน่วแน่ในการขจัดอาชญกรรมจากความเกลียดชังนี้อย่างเป็นรูปธรรม
จากสถานการณ์ข้างต้น เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ มีข้อเสนอแนะเพื่อการบริหารจัดการแรงงานกัมพูชาดังนี้

ประเด็นเร่งด่วน
1. กระทรวงแรงงานควรออกประกาศ และประชาสัมพันธ์ยืนยันว่าแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไทยทุกประการ ควบคู่ไปกับการประสานงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเร่งดำเนินการในคดีที่มีการทำร้ายร่างกาย ข่มขู่คุกคามต่อแรงงานข้ามชาติอย่างเปิดเผย โดยสื่อสารสู่สาธารณะเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งดำเนินคดีอย่างจริงจังต่อกลุ่มที่เผยแพร่ข้อมูลความเกลียดชัง ยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งไม่สนับสนุนกลุ่มที่มีพฤติกรรมดังกล่าว
2. จัดตั้งสายด่วนแรงงานข้ามชาติในภาวะฉุกเฉิน ที่มีเจ้าหน้าที่ล่าม และทีมสนับสนุนภาคสนามจากกรมการจัดหางานและองค์กรภาคประชาสังคม และสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจให้นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ โดยทำหน้าที่ให้ข้อมูลแก่นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ รับเรื่องร้องเรียนในกรณีต่าง ๆ ประสานงานเพื่อดำเนินการในเรื่องเอกสารประจำตัวของแรงงานข้ามชาติ และประเด็นเรื่องสิทธิแรงงาน เช่น กรณีเลิกจ้าง ค่าจ้างค้างจ่าย เป็นต้น
3. ตั้งศูนย์เฉพาะกิจชายแดนที่แรงงานเดินทางออกช่วยเหลือแรงงานก่อนเดินทางกลับประเทศเพื่ออำนวยให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงกลไกการร้องเรียนและสิทธิตามกฎหมาย เช่น กรณีแรงงานเดินทางกลับโดยไม่ได้รับค่าแรง นอกจากนี้เครือข่ายยังพบว่ามีกรณีแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศแต่เอกสารประจำตัวอยู่ในความครอบครองของนายจ้างและหรือบริษัทจัดหางานอันเนื่องมากจากการดำเนินการทางเอกสารระหว่างประเทศ ทำให้แรงงานข้ามชาติที่ต้องการเดินทางกลับอย่างถูกต้องไม่สามารถดำเนินการได้
4. กระทรวงแรงงานควรพิจารณามาตรการการลดผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคการเกษตรในพื้นที่ชายแดน ของผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน โดยพิจารณาขอให้พิจารณาดำเนินการผ่อนผันการขออนุญาตทำงานสำหรับคนสัญชาติพม่า ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ที่มีเอกสารหนังสือเดินทาง และได้รับการตรวจตราประเภทต่าง ๆ ทั้งที่ยังมีระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย หรือสิ้นสุดการอนุญาตแล้วก็ตาม โดยคณะรัฐมนตรีภายใต้การเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวใช้มาตรา 17 ของพรบ.คนเข้าเมือง มาตรา 14 และ 63/2 ในการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว ไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานตามฤดูกาลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีความต้องการเร่งด่วน

มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
5. ขอให้รัฐบาล กระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พิจารณาดำเนินการจดทะเบียนผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานอย่างถูกต้อง สามารถอยู่และทำงานในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินสองปี โดยพิจารณาให้ดำเนินการผ่านศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการหาแรงงานมาทดแทนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานข้ามชาติ
6. พิจารณาขยายระยะเวลาในการดำเนินการต่ออายุแรงงานกัมพูชาที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 กันยายน 2567 และมติอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังจะสิ้นสุดการดำเนินการในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาอีกจำนวนมากยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันเนื่องจากความล่าช้าในการออกเอกสารรับรองจากประเทศต้นทาง และการไม่สามารถดำเนินการจัดทำเอกสารหนังสือเดินทางเล่มใหม่ได้ จากสถานการณ์การปิดด่านชายแดน และการยุติความสัมพันธ์ชั่วคราวทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชา จึงควรพิจารณาขยายเวลาการดำเนินการออกไปอีก 6 เดือนจนถึง 13 กุมภาพันธ์ 2569 เช่นเดียวกับ แรงงานจากเมียนมา และพิจารณายกเว้นการตรวจจลงตราวีซ่าไปก่อนตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่แรงงานกัมพูชาหลุดระบบกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของนายจ้างและแรงงานข้ามชาติ
7. พิจารณาผ่อนผันให้แรงงานกัมพูชาที่นำเข้าตาม MOU ที่กำลังสิ้นสุดการได้รับอนุญาตให้ทำงานเนื่องจากทำงานครบเงื่อนไข 4 ปี ในประเทศไทยแล้ว กระทรวงแรงงานควรเร่งออกมาตรการการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานกลุ่มนี้ โดยพิจารณาการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวในประเทศไทยเพื่อป้องกันแรงงานหลุดจากระบบอันเนื่องมาจากเงื่อนไขกระบวนการนำเข้าแรงงาน
มาตรการรองรับการบริหารการจัดการในระยะกลาง และยาว
8. กำหนดมาตรการรองรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงาน โดยพิจารณาตั้งจุดประสานงานชั่วคราว ณ ด่านชายแดนหลัก สำหรับแรงงานที่ประสงค์เดินทางกลับเข้ามาสามารถลงทะเบียนล่วงหน้า หรือให้นายจ้างแจ้งความประสงค์ต่อกระทรวงแรงงาน/สำนักงานจัดหางานในพื้นที่โดยให้เสนอมีมติคณะรัฐมนตรีให้ เปิดช่องทางพิเศษ (Fast Track) สำหรับแรงงานกัมพูชาที่เคยมีประวัติทำงานในไทย ใช้ฐานข้อมูลเดิมเพื่อลดเวลาและต้นทุนในกระบวนการเดินทางกลับเข้ามาทำงานอย่างเป็นระบบ และยกเว้นการขอรักษาสิทธิวีซ่า (Re-entry visa) ให้แก่แรงงานกัมพูชาที่เดินทางออกนอกประเทศไปในช่วงการสู้รบ เพื่อลดภาระและอำนวยความสะดวกในการกลับเข้าประเทศและมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
9. กระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางความร่วมมือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการเพื่อรักษากำลังแรงงานไว้ในประเทศกระทรวงแรงงานควรพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาแก่นายจ้างที่ได้รับผลกระทบและความเสียหาย ทั้งจากการสู้รบและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติ ดำเนินการเจรจาลดขั้นตอน ลดค่าธรรมเนียม และอำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานภายใต้ระบบ MOU เพื่อให้กระบวนการจ้างงานมีความคล่องตัวและเป็นธรรมมากขึ้น ในเบื้องต้น เสนอให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาและพัฒนาแนวทางการนำเข้าแรงงานตาม MOU ภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่มีหน้าที่ศึกษา และจัดทำข้อเสนอแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงบันทึกข้อตกลง MOU กับประเทศต้นทาง รวมทั้งมาตรการและแนวทางที่จะทำให้การนำเข้าแรงงาน MOU มีสะดวก รวดเร็ว และต้นทุนต่ำ
10. กระทรวงแรงงานควรพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับพื้นที่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนผู้ประกอบการและเกษตรกรที่จ้างแรงงานข้ามชาติ ภาควิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อทำหน้าที่ในการประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายให้แก่กระทรวงแรงงานและรัฐบาลต่อไป ในระยะยาวกระทรวงแรงงานควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการแบบกึ่งกระจายอำนาจเพื่อให้จังหวัดบริหารจัดการตัวเองตามสถานการณ์และประเด็นเฉพาะของแต่ละพื้นที่

ภายหลังเข้ายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เปิดเผยว่า ตอนนี้รัฐมนตรีแรงงานได้รับทราบและได้เน้นย้ำเรื่องการกระจายข่าวสารเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสร้างความเกลียดชังหรือกีดกันแรงงานกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางรัฐมนตรียังไม่มีคำตอบเพิ่มเติม เนื่องจากการพูดคุยในประเด็นนี้มีความเกี่ยวข้องในหลายหน่วยงาน จึงต้องรอการประชุมกับคณะกรรมการนโยบายในวันพรุ่งนี้ (8 ส.ค. 68) เพื่อหารือกันต่อไป
ส่วนผลกระทบต่อกิจการการเกษตรในพื้นที่ชายแดน อดิศร เผยว่า เป็นปัญหาที่จะต้องมีการจัดการเร่งด่วน เนื่องจากจำนวนแรงงานที่ขาดแคลน ที่จะมาเก็บเกี่ยวผลผลิตในพื้นที่เกษตรในช่วงนี้มีประมาณ 50,000 – 70,000 คน ถ้าหากมีการแก้ไขที่ล่าช้าก็อาจจะส่งผลกระทบมากขึ้น ซึ่งกำลังหาแนวทางร่วมกันว่าจะสามารถหาแรงงานมาทดแทนได้อย่างไร
อดิศร ยังย้ำเรื่องการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะสั้น โดยประเมินว่าต้องดึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมาทดแทนก่อนชั่วคราว เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน ส่วนระยะยาวต้องพูดคุยเรื่องกระบวนการการนำเข้าแรงงาน
“ที่ห่วงคือภาคเกษตรในพื้นที่ชายแดน เราเสนอว่าให้มีมาตรการพิเศษที่อนุญาตให้แรงงานเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามาโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าประเภทอื่น พอมันเกี่ยวข้องกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก็จะต้องหารือกันต่อไป”
อดิศร เกิดมงคล

Saing Ry กลุ่มแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชา ในพื้นที่ จ.จันทบุรี เปิดเผยถึงความกังวลต่อกระแสในโลกออนไลน์ที่มีการทำร้ายร่างกายแรงงาน ครอบครัวที่กัมพูชาจึงอยากให้กลับไป และยืนยันว่าทางรัฐบาลกัมพูชามีการประกาศให้แรงงานกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้บังคับหรือกล่าวว่าจะยึดที่ดินหรือทำร้ายคนในครอบครัว พร้อมย้ำว่า ตนเองยังคงอยากทำงานที่ไทยอยู่ แต่กังวลเรื่องความปลอดภัยจากสถานการณ์ปัจจุบัน
“อยากให้รัฐบาลไทยจัดระเบียบให้ประชาชนไทยอย่าเลือกปฏิบัติกับแรงข้ามชาติ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เขาเข้ามาทำงานเพื่อชีวิต”
Saing Ry
จี้ภาครัฐสร้างความเชื่อมั่น ป้องกันความรุนแรงจากกระแสความเกลียดชัง
ฝั่งตัวแทนนายจ้าง นิลุบล พงษ์พยอม จากกลุ่มนายจ้างสีขาว บอกว่า นายจ้างได้ทำแบบสอบถามกับแรงงาน และเห็นว่ามีหลายคนที่กลัวโดนทำร้ายร่างกาย หลายคนอยากอยู่ต่อ แต่ครอบครัวอยากให้กลับเพราะกลัวลูกถูกทำร้าย จึงกลับประเทศไปกว่า 300,000 คน ส่งผลกระทบหนักต่อนายจ้างในแง่เศรษฐกิจ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการต่อใบอนุญาตกการทำงานที่ดำเนินการไปแล้ว แต่ลูกจ้างไม่อยู่

“ตอนนี้ขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง 100 คน ไปสัก 90 แล้ว เหลือ 10 คน คือรอเวลาที่จะไป ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ทำงานต่อ การที่กระทรวงแรงงานประกาศว่าจะเอาแรงงานของศรีลังกามาทดแทนมันไม่ทัน”
นิลุบล พงษ์พยอม
เมื่อถามถึงความคาดหวังที่แรงงานกัมพูชาจะกลับมาทำงานอีกครั้ง นิลุบล ก็บอกว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ต้องมีการออกประกาศเป็นทางการจากกระทรวงแรงงานไปจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว เนื่องจากตอนนี้มีกลุ่มที่ออกมาแสดงความคลั่งชาติ ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและไล่ล่าแรงงานกัมพูชาในโลกออนไลน์ ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนคนไทยด้วย