กสม. ย้ำ ‘แลนด์บริดจ์’ ไม่คุ้มค่า แนะ ครม. สั่งสภาพัฒน์ รับฟังความเห็นรอบด้าน 

เผย ผลตรวจสอบแลนด์บริดจ์ จ.ชุมพร-ระนอง ไร้ศักยภาพการแข่งขัน ขาดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ สุ่มเสี่ยงละเมิดสิทธิมนุษยชน แนะรัฐ ชะลอโครงการ จนกว่าจะจัดรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน

วันนี้ (28 ส.ค. 68) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 29/2568 โดยมีวาระสำคัญ เกี่ยวกับกรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก เครือข่ายเกษตรกรอำเภอหลังสวน เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ และประชาชนหลายราย ว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์ จ.ชุมพร-ระนอง เป็นการดำเนินการที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ทราบข้อมูลชัดเจน ไม่มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ มีความสับสนว่าโครงการฯ ประกอบด้วยรายละเอียด ขั้นตอน และแผนการดำเนินการอย่างไร ทั้งยังมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการตั้งเขตอุตสาหกรรมรวมถึงการใช้ไฟฟ้าและน้ำจืดซึ่งอาจต้องสร้างโรงไฟฟ้าและเขื่อนกักเก็บน้ำ

‘แลนด์บริดจ์’ ขาดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ 

วสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากข้อร้องเรียนดังกล่าว กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้ดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนของโครงการแลนด์บริดจ์ ตั้งแต่ มี.ค. 2564

(ซ้าย) หรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ขวา) วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

โดยกำหนดให้ที่ตั้งท่าเรืออยู่บริเวณแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร และ แหลมอ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกรอบแนวคิดการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2561 โดย การรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือทั้งสองฝั่ง และ กรมทางหลวง (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้ดำเนินโครงการแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ยังมีโครงการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใน จ.ระนอง และ จ.ชุมพร ด้วย จึงอาจสรุปได้ว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ประกอบไปด้วยท่าเรือ ทางรถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โดยมีนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่

กสม. เห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น ได้แก่

‘แลนด์บริดจ์’ สุ่มเสี่ยงละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่ 1 โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง กระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ร้องหรือประชาชนหรือไม่ ? จากการพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้โครงการแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการโลจิสติกส์ ที่มีเป้าหมายให้เป็นทางเลือกใหม่ในการขนส่งสินค้าจากฝั่งมหาสมุทรอินเดียโดยไม่ผ่านช่องแคบมะละกา และสนับสนุนการพัฒนาภาคใต้ภายใต้กรอบแนวคิด SEC แต่จากการศึกษาของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ผู้ถูกร้องที่ 1 รวมถึงความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและพยานบุคคล พบว่า การขนส่งผ่านโครงการแลนด์บริดจ์ไม่สามารถย่นหรือประหยัดเวลาได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังมีค่าขนส่งสูงกว่า จึงไม่อาจแข่งขันกับท่าเรือสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือเดิมและลงทุนขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่องได้ อีกทั้งไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เนื่องจากรายได้จากการให้บริการขนส่งตู้สินค้าไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบำรุงรักษา ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากเป้าหมายอีกประการหนึ่งของโครงการในการสนับสนุนการพัฒนา SEC ก็ปรากฏว่า โครงการแลนด์บริดจ์สามารถสนับสนุนสินค้าภายใต้ SEC ได้เพียงร้อยละ 18 

ไม่เพียงประเด็นความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการแลนด์บริดจ์ยังจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลน พื้นที่ชุ่มน้ำ ตลอดจนอาจกระทบต่อคุณค่าโดดเด่นของแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอเป็นแหล่งมรดกโลก

นอกจากนี้ โครงการยังจะกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ ของ จ.ระนอง และ ชุมพร ที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจากภาคเกษตรและการประมง กระทบต่อรายได้ของเกษตรกรจากการสูญเสียที่ดินทำกิน ที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ และแหล่งทำการประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่ทำประมงแบบดั้งเดิม

การดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์จึงไม่สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ระดับพื้นที่ จ.ระนอง และ ชุมพร ที่เน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการเกษตรมูลค่าสูง ทั้งยังเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่นำผลการศึกษาของ สศช. ซึ่งได้ข้อสรุปแล้วว่า โครงการแลนด์บริดจ์ไม่มีความเหมาะสมและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งไม่สามารถสนับสนุน SEC มาประกอบการพิจารณา ประเด็นนี้จึงรับฟังได้ว่า โครงการแลนด์บริดจ์สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ชี้รับฟังความเห็นปิดโอกาสประชาชนกำหนดทางเลือกการพัฒนา

ประเด็นที่ 2 กรณีการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ จ.ชุมพร-ระนอง ของผู้ถูกร้องทั้ง 3  ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมทางหลวง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 จะจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EHIA) ของโครงการท่าเรือ จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการทางรถไฟรางคู่ และโครงการทางหลวงพิเศษสายชุมพร-ระนอง ตามประกาศและแนวทางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่การศึกษาผลกระทบรายโครงการแยกกันในลักษณะดังกล่าว ทำให้ประชาชนไม่สามารถมองเห็นภาพรวมผลกระทบทุกโครงการเชิงระบบและความเชื่อมโยงระหว่างโครงการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน สร้างภาระให้ประชาชนต้องเข้าร่วมเวทีหลายครั้ง ดังที่ปรากฏว่าผู้ถูกร้องทั้งสามได้จัดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์รวมกันกว่า 12 ครั้ง โดยไม่นับรวมการประชุมกลุ่มย่อย

เมื่อพิจารณาในเชิงคุณภาพของการจัดกระบวนการมีส่วนร่วมก็ปรากฏข้อจำกัดหลายประการซึ่งอาจส่งผลต่อความครบถ้วนรอบด้านของการรับฟังความคิดเห็น เช่น ประชาชนบางกลุ่มไม่ได้รับข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของโครงการ มีการเชิญชวนที่ไม่ทั่วถึง ประชาชนกลุ่มเฉพาะไม่สามารถเข้าร่วมเวทีได้ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยบนเกาะ และเนื้อหาที่นำเสนอยังไม่ครอบคลุม ไม่ชัดเจน ไม่มีรายละเอียดที่เพียงพอ ขาดการชี้แจงผลกระทบด้านลบที่เป็นรูปธรรม และผู้จัดเวทีไม่สามารถชี้แจงให้ข้อมูลได้อย่างละเอียดครบถ้วน หรือบางกรณีชี้แจงว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ส่งผลให้เกิดความไม่เข้าใจและความกังวลในกลุ่มประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ

กสม. ยังเห็นว่า การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต่อโครงการแลนด์บริดจ์เป็นเพียงการรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปกำหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่จะเกิดขึ้น แต่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีทางเลือกที่จะแสดงความคิดเห็นว่ารัฐไม่ควรจะดำเนินโครงการหรือควรดำเนินโครงการพัฒนาในลักษณะใดที่จะสอดคล้องกับความต้องการและบริบทของพื้นที่

ดังนั้น การรับฟังความคิดเห็นเป็นรายโครงการของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เพื่อประกอบการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นและชี้แจงข้อมูลที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีความหมายตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิในการพัฒนารับรองไว้ ประเด็นนี้จึงรับฟังได้ว่า “ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

แนะ ชะลอโครงการ ก่อนรับฟังความเห็นรอบด้าน

กสม. จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานผู้ถูกร้องทั้ง 3 ร่วมกันจัดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์ โดยจะต้องชี้แจงข้อมูลให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของทุกโครงการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโครงการเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ในพื้นที่ จ.ชุมพร ระนอง และ จังหวัดใกล้เคียงที่อาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องอย่างละเอียด รอบด้าน เป็นวงกว้าง ครอบคลุมทุกประเด็น และทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเฉพาะที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการ เช่น ประมงพื้นบ้าน เกษตรกร ผู้ถูกเวนคืนที่ดิน วิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ คนไทยพลัดถิ่น เป็นต้น โดยให้ชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้น

นอกจากนี้ ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) สั่งการให้ สศช. จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนใน จ.ระนองและชุมพร ต่อทิศทางการพัฒนาในระดับโครงสร้างหรือในภาพรวม ในฐานะที่เป็นสิทธิในการกำหนดอนาคตและเจตจำนงของตนเอง รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนอย่างเสรี ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในกติกา ICESCR และสิทธิในการพัฒนา รวมถึงการรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิในการพัฒนา เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ และให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกอาชีพร่วมกำหนดแผนพัฒนาของ จ.ชุมพร และระนอง ที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ที่ปรากฎในรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อไป และให้ ครม. นำผลการจัดรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวและรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย เมื่อปี 2564-2565 ของ สศช. มาประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ต่อไป ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของประชาชนในพื้นที่

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active