NIA หวังดันไทยสู่ ‘ชาตินวัตกรรม’ มองความร่วมมือรัฐบาลหนุนงานวิจัยสู่การนำไปใช้จริง

ย้ำ นวัตกรรม คือ คำตอบของประเทศ แนะสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม สนับสนุนทุน ผลักดันผลงานไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม สร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมที่แข่งขันได้ ขณะที่ นักสื่อสารวิทย์ยาศาสตร์ เชื่อ ไทยมีศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ หวังรัฐหนุนวิจัย ‘ขึ้นหิ้ง’ เป็นรากฐานของนวัตกรรม ‘ขึ้นห้าง’

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 68 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จัดงานประกาศเกียรติคุณ และเชิดชูเกียรติแก่คนไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่น เกิดคุณค่าต่อประเทศชาติ และสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทยก้าวไปสู่การเป็น ชาตินวัตกรรม โดยมีรางวัลสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่

  • รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568 จัดขึ้นเป็นปีที่ 21 ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านผู้สื่อสารนวัตกรรม และด้านองค์กรนวัตกรรม เพื่อเชิดชูเกียรติบุคคลและหน่วยงานที่มีผลงานสร้างสรรค์อันทรงคุณค่า

  • รางวัลนวัตกรรมข้าวไทย ประจำปี 2568 จัดโดยมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ NIA เป็นปีที่ 17 มุ่งส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับข้าวไทย ทั้งผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต ที่สามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ แบ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

  • รางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย (Thailand Innovation Awards – TIA) ประจำปี 2568 จัดโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ NIA เป็นปีที่ 25 เปิดโอกาสให้นักเรียนมัธยมศึกษา ปวช. ปวส. และนักศึกษาปริญญาตรี ได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดผลงานสู่ธุรกิจนวัตกรรม

วิทยาศาสตร์ต้องไปด้วยกันทั้ง ‘ขึ้นหิ้ง’ และ ‘ขึ้นห้าง’

แทนไท ประเสริฐกุล นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ และเจ้าของรายการ Witcast หนึ่งในผู้ที่ได้รับรางวัลด้านผู้สื่อสารนวัตกรรม อธิบายถึงความสำคัญของการมองวิทยาศาสตร์ในภาพใหญ่ ไม่ใช่เพียงระดับประเทศ แต่ในระดับมนุษยชาติ โดยชี้ว่า วิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 ด้านที่สัมพันธ์กัน คือ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์

โดย วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มุ่งตอบคำถามเพื่อค้นหาความจริงที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ เช่น การศึกษาจักรวาล, การทำงานของสมอง หรือการสืบหากำเนิดชีวิต งานเหล่านี้อาจยังไม่กลายเป็นนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ในทันที แต่ถือเป็น แก่นความรู้ ที่เป็นรากฐานสำคัญต่อการต่อยอดในอนาคต ขณะที่ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ คือ การนำองค์ความรู้เหล่านั้นไปพัฒนาเป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของสังคม แต่การจะประยุกต์ได้ก็ต้องอาศัยฐานความรู้จากฝั่งบริสุทธิ์ก่อนเสมอ ทำให้สองด้านนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน

แทนไท ยังชี้ว่า ปัญหาสำคัญคือการอธิบายประโยชน์ของงานวิจัยที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนทันที งานวิจัยและนักวิจัยเหล่านี้มักถูกลดความสำคัญลงเมื่อเทียบกับผลงานที่สร้างนวัตกรรมจับต้องได้ เช่น ยารักษาโรคหรือวัสดุลดคาร์บอน ซึ่งมักได้รับทุนสนับสนุนทันที ทั้งที่จริงแล้ว ผู้มีวิสัยทัศน์ทางนโยบายต้องมองให้ออกว่า งานวิจัยทั้ง 2 ลักษณะล้วนจำเป็น และมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ไม่ควรลำเอียงให้คุณค่าเฉพาะงานวิจัยขึ้นห้าง แต่งานขึ้นหิ้งก็ควรได้รับการส่งเสริมเช่นกัน

แทนไท ประเสริฐกุล นักสื่อสารวิทยาศาสตร์

นั่นจึงเป็นโจทย์ในฐานะนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ซึ่งย้ำว่า หน้าที่ของตัวเอง คือ การนำทั้งนวัตกรรมใหม่ ๆ และองค์ความรู้ทางธรรมชาติที่น่าตื่นตา เช่น เรื่องสัตว์ ดวงดาว ไดโนเสาร์ หรือกลไกภายในเซลล์ มาเล่าให้สังคมได้รู้สึก “ว้าว” และสนุกกับการเรียนรู้ เพราะแรงบันดาลใจเหล่านี้อาจต่อยอดไปสู่การค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ได้ในอนาคต

แทนไท ยังเชื่อว่า วิทยาศาสตร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกือบทุกปัญหาของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ สิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน หรือแม้กระทั่งการศึกษาความสุขในเชิงจิตวิทยา ล้วนต้องอาศัยการวิจัยและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทางออกที่เหมาะสมต่อสังคม

พร้อมยังทิ้งท้ายว่า ความท้าทายในยุคปัจจุบันไม่ใช่การหาข้อมูล เพราะข้อมูลมีอยู่รอบตัวแล้ว แต่คือการทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าของมัน เขาจึงพยายามสร้างสังคมที่สนุกกับวิทยาศาสตร์ ทั้งในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และคนทำงานสายอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการผลักดันให้แวดวงวิทยาศาสตร์ทั้งในไทยและต่างประเทศก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ และในประเทศไทยก็มีต้นทุนทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย มีสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากร และมีทั้งผู้คนที่พร้อมจากสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

“ในยุคนี้คือ ข้อมูลมีมากมายอยู่แล้ว คำถามคือจะทำอย่างไรให้คนเห็นคุณค่าของมัน ผมจึงพยายามทำงานในรูปแบบไม่เป็นทางการนัก เปิดพื้นที่ให้ทั้งนักวิทยาศาสตร์และคนจากสายอื่น ๆ ตั้งแต่นักออกแบบ ศิลปิน มาร่วมสนุกกับวิทยาศาสตร์ด้วยกัน”

แทนไท ประเสริฐกุล

‘ชาตินวัตกรรม’ ต้องอาศัยระบบนิเวศและความร่วมมือทุกภาคส่วน

กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวถึงแนวคิด ชาตินวัตกรรม (Innovative Nation) ว่าจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อประเทศไทยสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแรง ครอบคลุมทั้งการสนับสนุนทุน การผลักดันผลงานไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมที่สามารถแข่งขันได้

หากมองประเทศที่เป็นชาตินวัตกรรมชั้นนำ เช่น สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, เกาหลี, ญี่ปุ่น หรือจีน สิ่งที่เห็นชัดคือ

  • มีเม็ดเงินลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

  • บริษัทใหญ่มีงบฯ วิจัยและพัฒนาสูงมาก บางประเทศลงทุนกว่า 5% ของจีดีพี ไปกับงานวิจัยและนวัตกรรม

  • มีสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์น (มูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จำนวนมาก

  • มีทั้งบริษัทใหญ่และ SME ที่มีผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมจริง ๆ

“ชาตินวัตกรรม จึงไม่อาจสร้างขึ้นจากการทำงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และผู้ประกอบการรายเล็ก กลาง ใหญ่ โดยเฉพาะนโยบายภาครัฐที่ต้องต่อเนื่องและจริงจังในการขับเคลื่อน”

กริชผกา บุญเฟื่อง

กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)

ผอ.NIA ยังอธิบายด้วยว่า นิยาม นวัตกรรม ของ NIA กว้างกว่าที่หลายคนเข้าใจ ไม่ได้จำกัดเพียงเทคโนโลยีระดับพันล้าน แต่รวมถึงความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบที่แก้ปัญหาในระดับชุมชนหรือสังคมได้ ดังนั้นทุกคนสามารถเป็นนวัตกรได้ ไม่จำกัดว่าจะจบสายวิทย์หรือศิลป์ เพียงมีไอเดียที่ต่อยอดได้ก็ถือเป็นนวัตกรรมเช่นกัน

หัวใจสำคัญคือการเชื่อมโยง วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) ให้กลายเป็น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการเชิงนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง NIA จึงทำหน้าที่สนับสนุนนักวิจัยและผลงานจากมหาวิทยาลัยให้มองเชิงธุรกิจมากขึ้น เพื่อไม่ให้ผลงานติดอยู่ในห้องแล็บ แต่ถูกนำไปใช้ได้จริง

เมื่อถามถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และสภาวะของรัฐบาลเฉพาะกิจจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนชาตินวัตกรรมหรือไม่นั้น กริชผกา มองว่า การผลักดันนวัตกรรมไม่เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในนโยบาย แต่ต้องมีการลงมือทำอย่างจริงจัง NIA พร้อมทำงานร่วมกับทุกรัฐบาล เพราะมั่นใจว่า นวัตกรรม คือ คำตอบที่ดีที่สุดของประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่การแก้ปัญหาภัยแล้ง การยกระดับชีวิตเกษตรกร ไปจนถึงการสร้างความมั่นคงปลอดภัยในระยะยาว

“ความท้าทายในยุคนี้คือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว หากไม่ทันจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในห่วงโซ่อุปทานโลก ดังนั้นไทยต้องสร้างคนที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอนให้คิดอย่างสร้างสรรค์และเท่าทันโลก เพราะเยาวชนคือกำลังสำคัญที่จะพาประเทศก้าวสู่การเป็นชาตินวัตกรรม”

กริชผกา บุญเฟื่อง
  • ผู้ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ปี 2568

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active