“รศ.อนุสรณ์” ชี้เศรษฐกิจไตรมาส 4 เสี่ยงจ่อถดถอยทางเทคนิค

เศรษฐกิจไตรมาส 4 เสี่ยงโตต่ำกว่า 1%  จ่อถดถอยทางเทคนิค – แนะเร่งลงทุนรัฐสู้เงินฝืด ไม่จำเป็นต้องขึ้น VAT หากอุดรั่วไหลงบได้

23 พฤศจิกายน 2568 รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ DEIIT เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 1% และอาจทำให้จีดีพีหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แม้จีดีพีไตรมาสสามขยายตัว 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ในเชิงไตรมาสต่อไตรมาสกลับติดลบ -0.6% ซึ่งหากไตรมาสสี่ติดลบอีก จะเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค”

อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่า ภาวะดังกล่าวยังไม่สะท้อนวัฏจักรเศรษฐกิจโดยรวมอย่างชัดเจน เว้นแต่จะเกิดการหดตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในวงกว้างเป็นเวลานาน ทั้งรายได้ การใช้จ่าย ยอดขาย การผลิตลดลง การจ้างงานหดตัว ว่างงานเพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง หากไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยปีหน้า ก็อาจฟื้นตัวได้ แต่มีโอกาสถดถอยซ้ำอีก หากไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1% และไม่เร่งการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังติดลบ มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท จะช่วยเพียงการกระตุ้นบริโภคช่วงปลายปีเท่านั้น ขณะที่ภาคลงทุนและส่งออกมีสัดส่วนการนำเข้าสูง ทำให้ผลต่อการผลิตในประเทศต่ำ อีกทั้งการนำเข้าบางส่วนเป็นการสวมสิทธิส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงถูกตอบโต้ทางการค้าด้วยอัตราภาษีสูง

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า การใช้จ่ายภาครัฐในไตรมาสสามยังติดลบ โดยการลงทุนภาครัฐลดลง -5.3% และการบริโภคภาครัฐลดลง -3.9% ส่วนไตรมาสสี่อาจฟื้นขึ้นเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจทำให้การใช้จ่ายรัฐเดินหน้าได้ไม่เต็มที่ หากไม่เร่งการลงทุนภาครัฐ พร้อมกับการฟื้นตัวของการลงทุนเอกชนและการบริโภคที่ต้องเติบโตมากกว่า 3% ประเทศมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง คาดเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ -0.2 ถึง -0.3% และปีหน้าเงินเฟ้ออาจอยู่ระดับ 0% หรือ ติดลบเล็กน้อย

เขาย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพราะกำลังซื้อยังอ่อนแอ การขึ้นภาษีอาจทำให้การฟื้นตัวสะดุด หากรัฐบาลสามารถลดรั่วไหลและเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณ รวมถึงป้องกันการทุจริตให้ได้ 2–3 แสนล้านบาทต่อปี จะช่วยปรับฐานะการคลังให้ดีขึ้นได้ โดยยังจำเป็นต้องปฏิรูปรายได้รัฐเพื่อแหล่งรายได้ใหม่ ลดความเสี่ยงทางการคลังในอนาคต และควบคุมหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่ให้ทะลุ 70%

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมปีหน้ามีทั้งที่ “รุ่ง” และ “ร่วง” จากปัจจัยสงครามการค้า เทคโนโลยีโดยเฉพาะเอไอ และภาวะเศรษฐกิจในประเทศ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และน่าจะทยอยฟื้นตัว โดยรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และอาจมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% ขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะเจอการแข่งขันรุนแรงและกำแพงภาษีสหรัฐฯ

ธุรกิจค้าปลีกในปีหน้ามีแนวโน้มชะลอตัว ส่วนธุรกิจบริการอาหารเติบโตเพียงเล็กน้อย จากกำลังซื้ออ่อนแอและหนี้ครัวเรือนสูง ภาคก่อสร้างมีแนวโน้มทรงตัว แต่หากรัฐเร่งโครงการ จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คาดมีเม็ดเงินโครงการก่อสร้างภาครัฐประมาณ 860,000 ล้านบาท ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ยังขยายตัวในระดับต่ำ เนื่องจากการตรวจสอบการฟอกเงินที่เข้มข้นขึ้นจะทำให้อุปสงค์เทียมลดลง และอุปทานส่วนเกินในบางเซ็กเมนต์อาจเสี่ยงเกิดภาวะฟองสบู่แตก

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active