ศาลฎีกา นัดชี้ชะตา ‘แสงเดือน ตินยอด’ 28 ก.ย. นี้ สหพันธ์เกษตกรภาคเหนือ หวังบทบาท กมธ.ที่ดินฯ จี้หน่วยงานเคลียร์ข้อเท็จจริงการดำเนินคดีชาวบ้าน อ้างขาดความชอบธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันนี้ (12 ก.ย. 2565) แสงเดือน ตินยอด ชาวบ้านชุมชนบ้านแม่กวัก อ.งาว จ.ลำปาง ร่วมกับสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ยื่นหนังสือถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ อภิชาติ ศิริสุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการลงพื้นที่เร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับชาวบ้านที่อพยพจากการทำเหมืองและโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ในพื้นที่ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง โดย สกน. ขอให้ดูแล ช่วยเหลือแสงเดือนโดยเร่งด่วน ก่อนศาลฎีกาจะนัดอ่านคำพิพากษาคดีบุกรุกป่าในวันที่ 28 ก.ย. นี้
เนื้อหาในหนังสือ ระบุถึงผลกระทบจากคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้ หรือ ‘นโยบายทวงคืนผืนป่า’ นำมาสู่กรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตป่าทั่วประเทศ พบว่าเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกรมป่าไม้ และ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าตามตัวเลข 40% โดยได้จับกุม ดำเนินคดี ตัดฟันพืชผลอาสิน การข่มขู่ คุกคามชาวบ้าน รวมถึงการบังคับให้ออกจากพื้นที่ทำกินเดิม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกรณีของ แสงเดือน ตินยอด หรือ วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง วัย 55 ปี ชาวบ้านแม่กวัก อ.งาว จ.ลำปาง ซึ่งถือเป็นเหยื่อจากนโยบายทวงคืนผืนป่า
สำหรับกรณีของ แสงเดือนนั้น เกิดขึ้นภายหลังที่ดินทำกินถูกประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่ง หลังจากนั้น กรมป่าไม้อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์และอยู่อาศัยได้โดยให้สิทธิ สทก. 1 ก่อนมีการเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ขณะที่ก็ยังมีการต่อใบอนุญาตทำกินให้ รวมถึงได้รับการส่งเสริมให้ปลูกยางพารา จนหลังมีคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 หรือ ‘นโยบายทวงคืนผืนป่า’ แสงเดือน จึงถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท และป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่ง บังคับให้ตัดฟันยางพาราของตนเอง 2 ครั้ง ในปี 2556 และ 2558 ก่อนจะถูกดำเนินคดีในปี 2561 ในพื้นที่ทำกิน 10 ไร่
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าแสงเดือนทำกินในพื้นที่มาก่อนการประกาศเป็นป่าสงวนฯ และกำลังดำเนินตามนโยบาย ‘โฉนดชุมชน’ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน ปี 2553 และยังได้รับการผ่อนผันตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 แต่หน่วยงานรัฐได้ยื่นเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น สั่งจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยเจตนา และเรียกค่าเสียหาย 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% นับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 2561 รวมทั้งให้แสงเดือน ออกจากพื้นที่ และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขณะที่อัยการจังหวัดลำปาง ยืนยันเดินหน้าเอาผิดแสงเดือนในกระบวนการศาลอย่างถึงที่สุด และจะมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในวันที่ 28 ก.ย. นี้
“กรณีดังกล่าวเป็นภาพสะท้อนนโยบายใหญ่ที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะนโยบายที่ว่าด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า พื้นที่สีเขียว ตั้งแต่แผนแม่บทป่าไม้ฯ ที่กำหนดว่าประเทศไทยต้องมีพื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ รวมถึงนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีความพยายามในการส่งเสริมปลูกป่าเพื่อค้าคาร์บอนเครดิต นโยบาย Net Zero หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ที่จะสัมพันธ์โดยตรงต่อการแย่งยึดที่ดินชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่เขตป่า และจะส่งผลต่อการยึดพื้นที่ทำกินของชาวบ้านด้วยมาตรการทางกฎหมายป่าไม้ โดยมีทั้งพื้นที่ที่ถูกดำเนินคดีและกำลังเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีซึ่งจะเป็นเป้าหมายหลักในการนำมาดำเนินโครงการปลูกป่า โดยพบว่าตลอดเวลา 8 ปีของนโยบายทวงคืนผืนป่า มีคดีความที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกป่าไม่ต่ำกว่า 34,692 คดี“
ขณะที่ แสงเดือน บอกว่า ได้รับผลกระทบจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ไม่มีที่ดินทำกิน และเผชิญสภาวะซึมเศร้า ต้องพบแพทย์ และรู้สึกไม่มั่นคงในการใช้ชีวิต
“เป็นกังวลต่อคำตัดสินของศาลอย่างมาก ทุกวันนี้เครียด จากที่ปลูกยางต้องไปรับจ้างกรีดยางของคนอื่น เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมคนใหญ่คนโตถึงต้องเหยียบเราจนจมดิน จนไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะฟื้นขึ้นมาได้ไหม”
สกน. ลำปาง มีข้อเรียกร้องให้เร่งรัด ติดตาม การดำเนินงานของคณะกรรมาธิการการที่ดินฯ โดยการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจับกุมและดำเนินคดี แสงเดือน ตินยอด มาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ว่าใช้อำนาจหน้าที่ใดในการดำเนินการ เหตุใดต้องเจาะจงดำเนินการกับ แสงเดือน ตินยอด ในกระบวนการเหล่านั้นปรากฏการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงยืนยันได้ว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่มีความผิดพลาดและลุแก่อำนาจ และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีเยียวยาใด ๆ
โดยหน่วยงานที่ต้องร่วมชี้แจง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, หน่วยงานรับผิดชอบในปฏิบัติการระดับพื้นที่, ศูนย์ปฏิบัติการหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) ในขณะนั้น, เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท และเจ้าหน้าที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่โป่ง รวมถึงภาคประชาชน แสงเดือน ตินยอด และผู้แทนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) โดยต้องมีความคืบหน้าภายใน 30 วัน และรายงานผลการตรวจสอบสู่สาธารณะ
ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่า การทวงคืนผืนป่าเป็นปัญหาทางนโยบาย ที่รัฐราชการใช้แต่นิติศาสตร์ แต่ไม่ใช้รัฐศาสตร์แก้ไขปัญหา จึงเกิดคดีความขึ้นหลายหมื่นคดี ทางออกหลังจากนี้คือการผลักดันร่างกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ
ส่วนกรณี แสงเดือน ตินยอด นั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกล รับปากจะส่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค และกรรมาธิการการที่ดินฯ เข้าสังเกตการณ์ ณ ศาลจังหวัดลำปาง ในวันที่ 28 ก.ย. นี้ด้วย