พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กฎหมายแม่บทการศึกษาไทยที่ใช้มานานกว่า 20 ปี ขณะฉบับใหม่ใช้เวลาถกเถียงตั้งแต่ปี 2560 วันนี้ ทุกฝ่ายเคาะร่างฯ เตรียมยื่นเข้าสภา เนื้อหาเจตนาเดียวกัน ‘ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง’ เชื่อเสร็จทันก่อนยุบสภาแน่ จับตาร่าง ฉบับ ครม.เข้าสภาฯ มีนาคมนี้หรือไม่
วันนี้ (22 ก.พ. 2568) สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเวทีนโยบายสาธารณะ ถกประเด็น ‘การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมเพื่อกำหนดทิศทางการศึกษาไทย: ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.ฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บทที่จะกำหนดทิศทางการจัดการศึกษาไทย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน สิทธิของผู้เรียน คุณภาพครู และระบบการศึกษาทั้งหมด ปัจจุบันยังมีข้อกังวลในหลายด้าน เช่น ความไม่ชัดเจนเรื่องการเรียนฟรี ความปลอดภัยในสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของนักเรียนและครู รวมถึงความยืดหยุ่นของหลักสูตร
ทางสภาองค์กรของผู้บริโภค จึงได้ย้ำข้อเสนอสำคัญที่ต้องมีในร่างกฎหมายดังกล่าว เช่น การยืนยันให้การศึกษาฟรี 15 ปีเป็นสิทธิที่เข้าถึงได้จริงสำหรับทุกคน การสร้างสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน การเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง และครูมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการศึกษา การปรับหลักสูตรให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ การพัฒนาครูให้มีความเชี่ยวชาญและได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม และการปรับปรุงระบบประเมินผลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ภูมิใจไทย: ไม่ใช่แค่ปฏิรูป เราต้องปฏิวัติ
สฤษดิ์ บุตรเนียร เลขานุการ คณะกรรมาธิการการศึกษา ในนามตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องนำมาใช้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยไม่เพียงช่วยให้โอกาสทางการเรียนรู้กระจายตัวอย่างทั่วถึง แต่ยังสามารถนำมาปรับปรุงหลักสูตรให้ตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนและตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับพรรคภูมิใจไทย มีการปรับเปลี่ยนหลายประการ เช่น การตัดระบบสมรรถนะตามช่วงวัยออกไป คงเหลือเพียงระบบการศึกษาในและนอกระบบ นอกจากนี้ ยังคงมีแผนการศึกษาชาติ แต่เพิ่มเติมแผนการศึกษาระดับจังหวัดขึ้นมา พร้อมจัดตั้ง ‘ซูเปอร์บอร์ด’ เพื่อติดตามและกำหนดนโยบายโดยรวม รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสามส่วน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนสถานศึกษาเอกชน กองทุนพัฒนาการศึกษาร่วมระหว่างรัฐและเอกชน และกองทุนส่งเสริมครูและบุคลากรทางการศึกษา
“กระทรวงศึกษาธิการใหญ่เทอะทะมาก ใหญ่เกินกว่าจะลงไปแก้ไขปัญหาซับซ้อนในพื้นที่ท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่แค่การปฏิรูป แต่เราต้องปฏิวัติเลย”
สฤษดิ์ บุตรเนียร

เมื่อถูกตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการผลักดันร่างกฎหมายให้สำเร็จ ผู้เข้าร่วมเสวนามีความเห็นว่า หากเข้าสู่สภาฯ ในวาระที่ 1 กระบวนการจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากแนวทางหลักของร่างกฎหมายฉบับนี้มีความสอดคล้องกัน แม้ว่าจะมีบางประเด็นที่ยังต้องหารือเพิ่มเติม แต่โดยรวมแล้วเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้มีโอกาสผ่านทันในรัฐบาลชุดนี้ เว้นแต่จะเกิดเหตุการณ์ยุบสภาขึ้นเสียก่อน
เพื่อไทย: ปฏิรูปมันเฝือแล้ว ต้องเห็นเป้าเดียวกันก่อนคือ ‘ผู้เรียน’
เทอดชาติ ชัยพงษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่สะสมมายาวนานของระบบการศึกษาไทย ซึ่งที่ผ่านมาอำนาจการตัดสินใจถูกกำหนดอยู่ที่ส่วนกลาง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำและขาดโอกาสทางการศึกษา คุณภาพการเรียนการสอนมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์มากกว่าการพัฒนาผู้เรียน โรงเรียนขนาดเล็กเผชิญกับปัญหาคุณภาพ ครูต้องรับภาระงานที่หนักจนส่งผลต่อการสอน และการบริหารทรัพยากรยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
พร้อมย้ำว่าการจัดการศึกษาจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพราะนี่คือโจทย์สำคัญในการแก้ปัญหาทางการศึกษา ปัจจุบันอัตราการเกิดลดลงเฉลี่ยปีละกว่า 44,000 คน ทำให้ต้องมีแนวทางบริหารจัดการที่แตกต่างจากเดิม เพราะหากยังคงใช้แนวทางแบบเก่า ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากเดิม ขณะเดียวกัน สังคมกำลังเรียกร้องให้การศึกษาในท้องถิ่นพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเด็กในแต่ละพื้นที่
“ศึกษาธิการได้งบประมาณเป็นอันดับสองของทุกกระทรวง แต่งบประมาณยังไปไม่ถึงห้องเรียน หรือถึงผู้เรียนเท่าที่ควร ผมเรียกว่าเป็นปัญหาอมตะ ที่ผ่านมาเราเสนอต้องปฏิรูป มันเฝือแล้ว เราต้องเรียกว่าปรับใหม่ทั้งหมด เราต้องเห็นตรงกันก่อนว่าเป้าคือผู้เรียน”
เทอดชาติ ชัยพงษ์
ทั้งนี้ เขายืนยันว่าการศึกษา 3 รูปแบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย จะยังคงอยู่ต่อไปในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการศึกษาแบบโฮมสคูล ที่จะต้องได้รับการสนับสนุนและรับรองอย่างเป็นระบบ

รวมไทยสร้างชาติ: ไม่หวังฉบับตัวเองผ่านสภา ยืนยันผลักดันทุกร่างให้สำเร็จ
รศ.(พิเศษ) ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ในการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และผู้เรียน โดยเน้นว่าการศึกษาควรเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสทางอาชีพ ยกระดับศักยภาพของผู้เรียน และพัฒนาท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน การศึกษาต้องตอบโจทย์ทั้งผู้เรียน ผู้ประกอบการ และความต้องการของพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศ
ไอเดียรวบยอด คือ การให้ความสำคัญกับการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละจังหวัด เชื่อมโยงภาคธุรกิจและการลงทุน รวมถึงส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละสาขามีบทบาทในการสอนโดยตรง ลดภาระงานของครู โดยเฉพาะในเรื่องการประเมินผล ซึ่งจะต้องไม่เป็นภาระเกินควร และไม่จำเป็นต้องทำงานวิจัยหรือรายงานที่ซ้ำซ้อน เพื่อลดอุปสรรคในการสอนและพัฒนาผู้เรียน
“ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่ากฎหมายของพรรคตัวเองจะต้องได้ผ่าน แต่ผมยืนยันจะผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษา ไม่ว่าฉบับไหน ๆ เข้าสู่สภา”
รศ.(พิเศษ) ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง

ประชาชน: กฎหมายจะเสร็จทันยุบสภาไหม ขึ้นอยู่กับ ครม. ใส่เกียร์เร่งแค่ไหน
ปารมี ไวจงเจริญ สส.พรรคประชาชน เห็นพ้องกับแนวคิดว่าการศึกษาต้องตอบโจทย์ผู้เรียน และถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ สำหรับพรรคประชาชน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติควรคำนึงถึง 5 ด้านหลัก ได้แก่ สิทธิและสวัสดิการของผู้เรียน คุณภาพครู หลักสูตร โรงเรียนที่ปลอดภัย และโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ
ในส่วนของสิทธิและสวัสดิการ มาตรา 8 กำหนดให้ทุกคนต้องได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมตั้งแต่แรกเกิดโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ โรงเรียนของรัฐต้องไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ และต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎระเบียบของโรงเรียน เนื่องจากปัจจุบันสิทธิทางร่างกายของผู้เรียนยังไม่ได้รับการคุ้มครองเพียงพอ ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิในชีวิตประจำวัน พรรคประชาชนยังเสนอให้มี ‘สิทธิพักผ่อน’ เพิ่มในร่าง พ.ร.บ.เพื่อบรรเทาภาระของเด็กไทยที่ต้องเรียนหนักตั้งแต่เช้าจนเย็น และยังต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติม
ด้านหลักสูตร พรรคประชาชนใช้แนวคิด ‘กรอบ’ แทน ‘หลักสูตรตายตัว’ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น แต่ละโรงเรียนและแต่ละพื้นที่สามารถกำหนดหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง โดยมี 3 ระดับ คือ กรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรอบหลักสูตรพื้นที่ และกรอบหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งต้องมีการปรับปรุงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก นอกจากนี้ ยังยืนยันให้รับรองสิทธิการศึกษารูปแบบบ้านเรียน (โฮมสคูล) อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ปารมียอมรับว่าตามธรรมเนียมนิติวิธีของระบบกฎหมายไทย การจะยื่นร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ส่วนใหญ่จะต้องยึดเอาร่างฉบับของ ครม.เป็นหลัก หาก ครม.เร่งพิจารณาให้เสร็จ และเสนอเข้าสู่สภา กระบวนการจะเร็วขึ้น ส่วนรายละเอียดสามารถปรับเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการต่อไป

รัฐบาล: ยันไม่นิ่งนอนใจ คาดเข้า ครม.แน่ มีนาคมนี้
ณัฐิกา นิตยาพร ผู้อำนวยการกลุ่มนิติการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในนามตัวแทนจากข้าราชการประจำและฝ่ายรัฐบาล ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาต้องปรับตัวให้ทันกับความท้าทายในปัจจุบัน ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเป้าหมายหลักของประเทศคือความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และมุ่งสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ระบบการศึกษาจึงต้องสร้างคนดี มีสมดุลทั้งวิชาการและคุณธรรม พร้อมรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทย
ตัวแทนจากรัฐบาล เน้นว่า ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่นี้ไม่ได้เป็นการล้มเลิกกฎหมายเดิมเมื่อปี 2542 แต่เป็นการนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเน้น 3 ประเด็นหลัก คือ การยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พร้อมปรับปรุงระบบบริหารจัดการทรัพยากรและธรรมาภิบาลให้มีความยืดหยุ่น หลากหลาย และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เธอยังเสนอให้มีการจัดตั้ง “สถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้” เพราะมองว่ากองวิชาการในปัจจุบันไม่มีอำนาจมากพอภายใต้โครงสร้างที่ซับซ้อน
“อยากเห็นการศึกษาที่ไร้รอยต่อ ยึดหยุ่น สามารถเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ และใช้การเทียบโอนหน่วยกิต และในวัยแรงงานต้องได้มีโอกาสเรียนรู้พัฒนาทักษะตนเอง เพราะโลกเปลี่ยนไปเร็วขึ้นทุกวัน”
ณัฐิกา นิตยาพร
ณัฐิกา ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อประเด็นนี้ ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.อยู่ในกระบวนการของสำนักนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะได้รับการพิจารณาภายในเดือนหน้า ส่วนจะเข้าสู่สภาทันทีหรือผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละวิปฝ่ายต่าง ๆ แต่แนวโน้มคือจะผลักดันเข้าสู่สภาโดยเร็ว

เขียนขึ้นแล้ว อย่าปล่อยให้กฎหมายเป็น ‘เสือกระดาษเปียกน้ำ’
เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมในห้องเสวนาชี้ให้เห็นถึงข้อกังวลสำคัญที่ยังไม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในห้องประชุมยังขาดตัวแทนจากเด็กนักเรียนนอกระบบการศึกษาสายสามัญ เช่น เด็กจากศูนย์การเรียนและเด็กโฮมสคูล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี่สะท้อนถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ยังคงถกเถียงถึงแนวทางการพัฒนา แต่กลับละเลยเสียงของเด็กกลุ่มนี้ที่ควรได้รับการรับฟัง
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกตั้งคำถามคือ หลักประกันของผู้เรียนในการไม่ถูกละเมิดสิทธิหรือเผชิญกับความรุนแรงทางการศึกษา ซึ่งยังไม่ได้รับการพูดถึงอย่างจริงจัง นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ปกครองในการกำหนดแนวทางการศึกษาก็ยังเป็นเรื่องที่ขาดหายไปจากวงเสวนา ทั้งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างระบบการศึกษาที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่
บางส่วนแสดงความเห็นด้วยกับแนวทางของพรรคประชาชนที่เสนอให้มีการกำหนดรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ. ให้ชัดเจนที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้กฎหมายกลายเป็นเพียง “เสือกระดาษเปียกน้ำ” ที่ไม่มีผลบังคับใช้จริงในอนาคต ความชัดเจนในตัวบทกฎหมายจะช่วยให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรม และสามารถตรวจสอบได้ว่ามาตรการที่กำหนดขึ้นนั้นสามารถคุ้มครองสิทธิของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง