‘อังคณา’ ชี้จดหมายชาวอุยกูร์ หลักฐานสำคัญ ไม่ต้องการกลับจีน

สว.อังคณา ระบุรัฐบาลไทยละเมิดคำมั่น UNHCR เหตุจดหมายชาวอุยกูร์คือหลักฐานสำคัญ ว่าไม่อยากกลับจีน ขณะนายกรัฐมนตรีย้ำ ไม่มีการละเมิดสิทธิ์ รัฐบาลเตรียมเชิญผู้เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนร่วมเดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับเพื่อความโปร่งใส

วันนี้ (1 มี.ค.2568) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดย ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)โดย พลตำรวจเอก ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ที่เดินทางไปพร้อมกัน เพื่อส่งชาวอุยกูร์ ที่อยู่ห่างไกลกลับไปพบกับครอบครัวในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยย้ำว่า จะมีการติดตามอย่างต่อเนื่องหลังรัฐบาลจีนให้ความมั่นใจอีกครั้งว่า พวกเขาคือพลเมืองจีนที่จะต้องดูแลเป็นอย่างดี และหลังจากเดินทางส่งชาวอุยกูร์ถึงบ้านแล้ว ได้วางกรอบไว้ว่าประมาณ 15 วัน – 1 เดือน คณะผู้แทนระดับสูงของไทย จะบินไปติดตามพันธสัญญาที่ทั้งสองประเทศให้ไว้ต่อกันอย่างต่อเนื่อง

โดยคณะที่มี เลขาธิการ สมช.ร่วมอยู่ด้วย รายงานว่า ได้อยู่สังเกตการณ์และตรวจสอบชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับสู่แผ่นดินแม่ในรอบ 11 ปี ที่เรียกว่า“ 11 Year Mission possible “โดยชาวอุยกูร์ 40 คนเดินทางถึงเมือง “คาซือ” หรือ เมืองคัชการ์ มณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับบ้านเกิดของชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าวมากที่สุด

จิรายุ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางเยือนจีนเพื่อสังเกตการณ์และตรวจเยี่ยมการส่งกลับชาวอุยกูร์ครั้งแรกของคณะผู้แทนไทยนั้นจะเดินทางกลับในวันอาทิตย์นี้  พร้อมสรุปรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบภายใน 7 วัน โดยจะมีการติดตามตรวจสอบตามว่าชาวอุยกูร์ 40 คนที่กลับแผ่นดินแม่ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีสิทธิเสรีภาพต่อไป ตามเจตจำนงของทั้งสองประเทศ ส่วนการเดินทางครั้งที่ 2 เมื่อคณะดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทยและมีการสรุปรายงานเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจะกำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์อีกครั้งในระยะเวลาประมาณ 15 ถึง 30 วัน ซึ่ง รัฐบาลไทยยืนยันถึงความโปร่งใสและจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสื่อมวลชนเดินทางร่วมในการตรวจเยี่ยม

สอดคล้องกับที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ระบุก่อนหน้านี้ว่า การดำเนินการเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และข้อตกลงสหประชาชาติ โดยไม่มีการละเมิดสิทธิ์ เป็นความสมัครใจเดินทางกลับ

วันที่ 28 ก.พ.2568 กัณวีร์ สืบแสง สส.จากพรรคเป็นธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่าน FB เปิดจดหมาย 3 ฉบับที่มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน คือขอความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในไทยมานานเกือบ 11 ปี และยืนยันไม่สมัครใจกลับจีน โดยฉบับแรกมาจากผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ถึง UNHCR เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แต่จดหมายไปไม่ถึง UNHCR ฉบับที่สอง จดหมายจากญาติของผู้ต้องกักที่เป็นตัวแทนของ 43 อุยกูร์ ถึงนายกรัฐมนตรีไทย ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เป็นลูกๆ และสามีพวกเขาไปประเทศอื่น จดหมายส่งไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2567 ฉบับที่สามเขียนเขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ในห้องกักที่สวนพลูเพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา 19 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 -28 ม.ค.2568

ด้าน อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และเป็นอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ บอกกับ The Active ว่า ในฐานะที่เคยเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เคยมีโอกาสได้เข้าเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่มาลี้ภัยในไทยหลายครั้ง ที่ด่านสะเดา เสียงสะท้อนที่ได้รับจากชาวอุยกูร์ พบว่า พวกเขาอยากไปอยู่กับครอบครัวที่ตุรกี และเมื่อจดหมายเพิ่งถูกเปิดเผยออกมา คนที่เข้าไปเยี่ยมได้ส่งออกมาให้ ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)  ส่วนตัวก็รับทราบมาตลอดว่า ชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ได้อยากกลับจีน

ตอนที่เป็นผู้แทนพิเศษสหประชาชาติ ที่เจนนีวา สหประชาชาติได้มีการออกรายงานหลายฉบับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง

ปัญหาก็คือ สิ่งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีออกมาพูด ว่าชาวอุยกูร์สมัครใจกลับจีน แต่ถ้าสมัครใจกลับจริง ทำไมกรรมาธิการขอเข้าเยี่ยม 3 ครั้งถึงไม่ให้เยี่ยม และทำไมไม่ให้เขามาแถลงข่าวเอง

“จดหมายของชาวอุยกูร์ที่ออกมา เป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าเขาไม่อยากกลับ เพราะว่าเขากลัวอันตราย”


ส่วนท่าทีของนานาชาติ อย่างประเทศญี่ปุ่นที่ออกมาประกาศให้ระวังเหตุวินาศกรรมในไทย เนื่องจากญี่ปุ่นมีสมาคมอุยกูร์อยู่ ซึ่งคนอุยกูร์ที่เขาลี้ภัย จะไปพำนักอยู่แทบทุกประเทศทั่วโลก 

ถ้าถามว่าไทยจะสู้หน้ากับชาวโลกได้อย่างไร ก็ต้องถามว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร เมื่อวาน (28 ก.พ.68) ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ และมีการประชุมขึ้น ปรากฏว่า ทูตไทยไม่ได้เข้าร่วมประชุม หาตัวไม่เจอ เพราะทุกคนก็อยากจะถามว่า ทำไมรัฐบาลไทยถึงละเมิดต่อคำมั่นที่เคยให้ไว้

อังคณา ยังมองว่า สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่เวลานี้ ละเมิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ที่บังคับใช้ในไทยครบ 2 ปี และยังละเมิดสัตยาบันอนุสัญญาอุ้มหายฯ และมาตร 16 ของอนุสัญญาอุ้มหายฯ จึงคิดว่าคณะกรรมการการบังคับสูญหาย สหประชาชาติ อาจมีปฏิกิริยาต่อท่าทีของรัฐบาลไทย ในฐานะภาคีสมาชิก

ส่วนชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับล่าสุด อังคณา ระบุว่า ที่ซินเจียงมีค่ายอบรมขนาดใหญ่ เรียกว่า “ค่ายอบรมการศึกษา” ซึ่งคนที่เข้าไปอยู่ในค่ายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ญาติเข้าไปเยี่ยมได้ ทนายจะขอให้ปล่อยตัวก็ไม่ได้ ซึ่งทางสหประชาติ ถือว่าเป็นการควบคุมตัวโดยพลการ

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ภาพที่ปรากฎออกมา ว่ามีญาติมาต้อนรับ ชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไป ซึ่งสังคมตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเหมือนละครฉากหนึ่ง เป็นเพราะไม่มีการเปิดเผยข้อมูล เพราะก่อนหน้านี้ ที่มีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนเมื่อปี 2558 ก็พบข้อมูลว่าญาติยังไม่รู้ชะตากรรมของคนกลุ่มนี้

“109 คน ที่ส่งไปเมื่อปี 2558 ญาติยังติดต่อมาตลอดว่า ญาติยังไม่รู้ที่อยู่ และชะตากรรมของชาวอุยกูร์กลุ่มนั้นเลย”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active