วันชี้ชะตา! ลุ้นสภาฯ ผ่าน ‘กม.ชาติพันธุ์’ ฉบับแรกของไทยพรุ่งนี้ 

เครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง หวัง จุดเริ่มต้นยอมรับตัวตนบนความหลากหลายทางวิถีวัฒนธรรม ลบล้างอคติ คืนสิทธิหล่นหายสู่ความเท่าเทียม พร้อมหนุนศักยภาพบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม สู่พลังพัฒนาประเทศ 

ในวันพรุ่งนี้ (6 ส.ค. 68) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … โดยได้เลื่อนขึ้นมาประชุมตามที่ ที่ประชุมเห็นชอบ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม และได้ส่งคืนสภาผู้แทนราษฏรเพื่อพิจารณาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปี 2562 ข้อ137 

ทั้งนี้ ภายหลังที่ประชุมสมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเห็นชอบผ่านวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้แก้ไขเพิ่มเติม 22 มาตรา เช่น นิยามชาติพันธุ์ เปลี่ยน คำว่า “กลุ่มคน” เป็น “ชาวไทย” หรือ ชาวไทยชาติพันธุ์ ปัดตกคำว่า ชนเผ่าพื้นเมือง 

หมวด 5 มาตรา 37, 38, 39 “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” เดินหน้าจัดการทรัพยากรร่วม แต่ต้องไม่กระทบ หรืออยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.อุทยานฯ, แก้ไขคำว่า “ธรรมนูญ” เป็น “ข้อกำหนด”

ทั้งนี้แม้ภาพรวมส่วนใหญ่ จะยืนตามร่าง สส. แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมบางถ้อยคำ จึงต้องส่งกลับให้ สส.พิจารณาอีกครั้ง 

หากสภาผู้แทนราษฏร มีมติเห็นด้วยกับร่างแก้ไขของ สว. ก็จะเดินหน้ากระบวนการสู่การบังคับใช้ แต่หากไม่เห็นด้วยต้องมีการตั้งกรรมาธิการร่วม  

วิทวัส เทพสง รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้

ทำให้วันพรุ่งนี้ (6 ส.ค. 68) กลายเป็นวันชี้ชะตาการได้มาซึ่งกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของไทย โดย วิทวัส เทพสง ในฐานะรองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมือง และประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ บอกกับ The Active ว่า ร่าง กม.ดังกล่าว ใช้ระยะเวลาในการพิจารณาของทุกภาคส่วนอย่างมีส่วนร่วม พิจารณาเนื้อหากันอย่างละเอียดครอบคลุมแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง หรือ ความฝันของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง 100% แต่เนื้อหากฎหมายที่ออกมา ไม่ว่าจากกรรมาธิการฝั่ง สส. หรือ สว. ก็เกิดจากการมีส่วนร่วมของเครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ที่ได้เข้าไปร่วมการพิจารณา เพราะฉะนั้นจึงคิดว่า กฎหมายฉบับนี้เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้ ก็หวังและอยากให้กฎหมายผ่านสู่การประกาศใช้ไปเลย ไม่ต้องไปตั้งกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาระหว่าง สส. และ สว.อีก 

“เพราะว่ากฎหมายที่ออกมา ถือว่าเป็นความสมบูรณ์ที่ออกมาจากความคิดเห็นของทุกฝ่ายอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ภาคประชาชน กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองติดใจ ว่าความสำคัญถูกตัดออกไป เช่น นิยามคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง และไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ทั้งหมด แต่เห็นว่าเป็นโอกาสและจะใช้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ให้มากที่สุด และอีก 5 ปี ค่อยเก็บเอาจุดบกพร่องไปแก้ไขกันเพิ่มเติมในโอกาสถัดไป หรือแม้แต่การร่วมทำกฎหมายลำดับรองอีก ก็จะทำให้กฎหมายตอบโจทย์กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองได้มากขึ้น”

วิทวัส เทพสง

และอีกส่วนหนึ่งมองโอกาสการยอมรับตัวตนบนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศักยภาพบนวิถีวัฒนธรรม สู่ส่วนร่วมของพลังในการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงการคืนสิทธิต่าง ๆ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ยังเข้าไม่ถึงตกหล่นไป สู่การเข้าถึงสิทธิที่เท่าเทียมในสังคม 

“ที่สำคัญคือการเปลี่ยนอคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ที่เดิมอาจมีคนบางส่วนไม่เข้าใจ ถามว่าเป็นพม่าหรือเปล่า เป็นต่างด้าวหรือเปล่า ยึดแผ่นดินหรือไม่ ทำลายทรัพยากรหรือไม่ ซึ่งระหว่างการขับเคลื่อนกฎหมาย ได้พิสูจน์ความเข้าใจต่อสังคมมากขึ้น และในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ น่าจะเป็นคำถามที่เรียกว่าตกขอบหรือว่าล้าหลังไปแล้ว ซึ่งก็มาจากพลังการสนับสนุนของคนในสังคมที่มีความเข้าใจเห็นร่วมมากขึ้น”

วิทวัส เทพสง

สุมิตรชัย หัตถสาร นักกฎหมายและทนายความด้านสิทธิมนุษยชน

ขณะที่ สุมิตรชัย หัตถสาร นักกฎหมายและทนายความด้านสิทธิมนุษยชน แสดงความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้โดยบทบัญญัติในบททั่วไป มาตรา 5 ถึงมาตรา 12 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นหัวใจของกฎหมาย ที่ต้องได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม โดยเฉพาะมาตรา 9 ที่กำหนดให้ “กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน”

“โดยเฉพาะ มาตรา 9 (4) สิทธิในการปกป้องและได้รับการคุ้มครองจากการกระทำใดๆ ที่จะทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติ และที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้และยิยอมล่วงหน้าเพื่อการใช้สิทธิโต้แย้งทางกฎหมายอย่างอิสระ สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจะจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และสิทธิในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว”  

สุมิตรชัย หัตถสาร

หากกฎหมายผ่าน มาตรานี้จะเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไปในอนาคตได้แน่นอน

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ มีหลักการสำคัญ 3 ประการ  คือ คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม, ส่งเสริมศักยภาพ และ สร้างความเสมอภาค 

โดยมีสาระสำคัญ  5 ข้อ 

  1. วางหลักการในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์

  2. กลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

  3. การจัดตั้งสภากลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย

  4. จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ ในการกำหนดนโยบายด้านชาติพันธุ์

  5. จัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active