‘เด็ก’ ต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง ย้ำ สิทธิการศึกษาเป็นหลักสากล

นักกฎหมาย – นักการศึกษา เห็นพ้อง โต้ข้อเสนอ สว. ตัดงบฯ การศึกษาเด็กกัมพูชา ชี้ เป็นเรื่อง ‘ผิดฝาผิดตัว’ เตือนอาจขัดรัฐธรรมนูญ และกติกาสากล เผย ไทยใช้เวลาหลายสิบปีสร้างระบบดูแลเด็กไร้สัญชาติ ไม่ควรถอยหลัง ด้วยอคติ และความเกลียดชังชั่วคราว

จากกรณีที่ กมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา พร้อมคณะ สว.ชายแดน เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน และปรับลดงบประมาณโครงการช่วยเหลือด้านการศึกษาที่ไทยมอบให้กัมพูชา โดยอ้างเหตุจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนและการแบกรับค่าใช้จ่ายดูแลเด็กต่างชาติในระบบการศึกษาไทย ย้ำว่า ถ้าหากไม่มีความเป็นกัลยาณมิตร รัฐก็จำเป็นจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยให้ดูแลเฉพาะส่วนที่ถูกกฎหมาย ส่วนที่ผิดกฎหมาย หรือเด็กที่เดินข้ามชายแดนเข้ามา น่าจะระงับความช่วยเหลือไว้ก่อนในเบื้องต้น

กมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา พร้อมคณะ สว.ชายแดน แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน และปรับลดงบประมาณโครงการช่วยเหลือด้านการศึกษาที่ไทยมอบให้กัมพูชา (13 ส.ค. 68)

พร้อมกันนี้ยังอยากให้ลดความช่วยเหลือด้านการศึกษาอื่น ๆ เฉพาะกับประเทศกัมพูชา มีทุนที่มาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้แก่เด็กกัมพูชา วันนี้จึงน่าจะต้องกำหนดทิศทางให้ชัดเจน

“เราควรชะลอการช่วยเหลือไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หรืออาจจะต้องปรับให้กับประเทศลาว เมียนมา เวียดนาม รวมถึงประเทศประเทศอื่น ซึ่งประเทศไทยก็เป็นกัลยาณมิตรสูงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน ผู้ที่คิดถึงมนุษยชนอาจจะมองว่าทำไมต้องทำเรื่องนี้ แต่เราทำเท่าที่จำเป็น และไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานในประเทศยุโรปเลย เด็กไม่ได้ไปเรียน 16 วันแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะส่งไปเรียนได้ตามปกติหรือไม่ เด็กกัมพูชาที่กลับประเทศมีโอกาสที่เสียใจ แต่เด็กไทยที่โดนระเบิด เขาไม่มีโอกาสได้เสียใจ เขาไม่มีโอกาสได้ร้องไห้ ไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน และไม่มีโอกาสได้พบกับพ่อแม่เขาอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ผมอยากบอกกับทุกท่านว่า โลกเรามันไม่ได้สวยเหมือนที่เราคิด ขอให้ตั้งอยู่บนหลักเหตุผล และก็พร้อมที่จะทำหน้าที่นี้ เพื่อพวกเราชาวไทยต่อไป”

กมล รอดคล้าย

การศึกษา-ความเป็นเด็ก อยู่เหนือเส้นพรมแดน

แต่มุมมองอีกด้าน ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ในรายการ Flash Talk แสดงความกังวลต่อท่าทีของ สว.ดังกล่าว โดยมองว่า เป็นความเข้าใจที่ผิดฝาผิดตัว เพราะนำความขัดแย้งระหว่างรัฐกับรัฐ มาลดทอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน เด็กไม่ใช่คู่กรณีขัดแย้งในข้อพิพาทครั้งนี้ การจะออกนโยบายหรือเสนอมาตรการใดจึงต้องคิดทบทวนประโยชน์ของชาติให้มาก

ผศ.อรรถพล ยังระบุว่า การศึกษาเป็นสิทธิที่เหนือพรมแดน เด็กทุกคนต้องได้รับการดูแลไม่ว่าจะสัญชาติใด การตัดสิทธิการศึกษาไม่เพียงขัดต่อรัฐธรรมนูญของไทย แต่ยังละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ไทยลงนาม พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเคยเป็นตัวอย่างที่ดีในการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กไร้สัญชาติ ท่าทีของ สว. จึงเป็นการด้อยค่าเจตจำนงทางการศึกษาของไทย ถึงแม้ทาง สว. จะแง้มเงื่อนไขว่า จะลดงบฯ เฉพาะกลุ่มเด็กที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการเลือกปฏิบัติ เพียงเพราะเหตุของความขัดแย้งที่เยาวชนไม่ได้เป็นคู่กรณี

ที่ผ่านมา ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ทำงานด้านสิทธิการศึกษาของเด็กข้ามชาติได้ดี ไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนเรียนจนถึง ป.6 ครอบคลุมทั้งเด็กไร้สัญชาติและผู้มีความหลากหลาย ซึ่งใช้เวลาหลายทศวรรษสร้างระบบนี้จนได้รับการยกย่องจากนานาชาติ การนำความเกลียดชังจากเหตุเฉพาะหน้ามาลดทอนสิทธิการศึกษาของเด็ก ไม่เพียงขัดรัฐธรรมนูญและข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่ยังบั่นทอนคุณค่าที่ไทยสั่งสมมา และอาจกระทบภาพลักษณ์ประเทศ โดยเฉพาะเมื่อคำพูดดังกล่าวมาจากวุฒิสมาชิกที่เป็นตัวแทนของรัฐ

“ไทยใช้เวลาหลายสิบปีสร้างระบบดูแลเด็กไร้รัฐ ไร้สัญชาติ อย่าให้ความเกลียดชังชั่วคราวทำให้เราละเมิดกติกาสากลและถอยหลัง ในฐานะผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติ ท่านควรเป็นเสาหลักยึดมั่นในหลักการ มองทั้งผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาวของชาติ”

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล

ผศ.อรรถพล เตือนว่า ในสังคมที่ความเกลียดชังถูกส่งต่อได้ง่ายโดยเฉพาะผ่านโซเชียลมีเดีย เยาวชนกำลังตกเป็นเหยื่อของเรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่เองก็รู้ไม่เท่าทัน สถาบันการเมืองต้องทำหน้าที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางหลักการสากล เพื่อป้องกันไม่ให้ความเกลียดชังทำลายโอกาสและอนาคตของเด็ก

ให้การศึกษาเด็กข้ามชาติ ไม่ใช่ตัดโอกาสเด็กไทย

ในส่วนของความกังวลที่หลายคนเชื่อว่า การอุดหนุนการศึกษาให้กับเด็กต่างสัญชาติจะเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย นั้น ผศ.อรรถพล ยืนยันว่า 2 เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกัน พร้อมยืนยันว่า รัฐสามารถทำให้ทั้งเด็กไทย และเด็กต่างสัญชาติได้มีโอกาสเรียนหนังสือ โดยไม่จำเป็นจะต้องเลือกที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมารัฐมีงบประมาณเพียงพอ สำหรับการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับเด็กไทยและเด็กข้ามชาติ เพียงแต่การจัดสรรงบประมาณนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของสังคมไทยให้ได้แรงงานคุณภาพ เปรียบการศึกษาเป็นตาข่ายรองรับไม่ให้เยาวชนตกหล่นไปอยู่ในที่มืดของสังคม ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสังคมตามมา

“ภายใน 20 ปีข้างหน้า ไทยจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อเติมเต็มตำแหน่งงานที่คนไทยไม่ทำแล้วซึ่งเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย จึงไม่มีเหตุผลที่เราต้องตัดสิทธิด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานของลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ก่อนหน้าที่รัฐบาลเคยทุ่มเม็ดเงินกว่า 3,000 ล้านบาท ในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน เพื่อส่งเสริมการเป็นเพื่อนบ้านและการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาคอย่างเสรี แต่วันนี้กลับสะท้อนความล้มเหลว เพราะผู้ใหญ่ในสังคมยังไม่ก้าวข้ามความเกลียดชัง ซึ่งเกิดจากความไม่รู้และความหวาดกลัว

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล

ผศ.อรรถพล ยังเชื่อว่า สงครามเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ และเป็นหน้าที่ของรัฐกับกองทัพในการจัดการ ขณะที่หน้าที่ของประชาชนไม่ใช่การเป็นกองเชียร์ให้เกิดการสู้รบ ชวนให้กลับมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า ประชาชนทั้งสองฝั่งต่างได้รับความเดือดร้อน เช่น เด็กต้องหยุดเรียนเพื่อหลบภัยสงคราม, การค้าขายต้องหยุดชะงัก เป็นต้น

ฉะนั้นต้องมองสงครามเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะผลกระทบของสงครามทั้งระยะสั้น และยาวฝังลึกในสังคม การศึกษา จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการก้าวข้ามความไม่รู้ พร้อมตั้งคำถามถึงบทบาทของการเรียนการสอนในโรงเรียนว่าจะช่วยลดอคติและป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อย่างไร

การศึกษาเพื่อมองเห็น ‘โลกอย่างที่เป็น’
และชวนหาหนทางถึง ‘โลกที่ควรจะเป็น’

ผศ.อรรถพล ยังอธิบายว่า งานด้านการศึกษามีความท้าทาย เพราะต้องสอน “โลกที่เป็นอยู่” ควบคู่กับ “โลกที่ควรจะเป็น” ให้ผู้เรียนเห็นภาพและเดินหน้าสู่สังคมที่เคารพความเป็นมนุษย์ และไม่ใช้ความรุนแรง แต่เมื่อประชาธิปไตยอ่อนแอหรือเกิดกระแสเกลียดชังทางเชื้อชาติ หลักการเหล่านี้มักถูกสั่นคลอน และคนจำนวนไม่น้อยหวั่นไหวไปตามอารมณ์มวลชน จึงเป็นหน้าที่ของครูและนโยบายรัฐที่จะทำให้เห็นทั้งสภาพปัจจุบันและเป้าหมายที่ควรไปถึง

เมื่อเด็กเรียนเรื่องสิทธิเด็กตั้งแต่ ป.4 แล้วพบว่า เพื่อนต่างชาติถูกตัดโอกาสการศึกษาเพราะเหตุการณ์ปัจจุบัน พวกเขาจะตั้งคำถามต่อช่องว่างระหว่างสิ่งที่ครูสอนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สังคมที่พัฒนาได้ต้องขับเคลื่อนไปสู่หลักการเคารพความแตกต่าง ความเห็นต่างไม่ใช่ปัญหา แต่ความเห็นที่สุดโต่งและใช้ความรุนแรงคือสิ่งที่น่ากังวล จึงเป็นเรื่องน่าตกใจที่กระแสเกลียดชังขยายมาถึงเด็ก

“เด็กบางคนประกาศอยากใช้ความรุนแรงกับเพื่อนบ้านตามที่ผู้ใหญ่พูดซ้ำทุกวัน สะท้อนว่าผู้ใหญ่กำลังสร้างต้นแบบที่ผิด และทำให้สังคมถอยหลังจากเป้าหมายที่ควรจะเป็น”

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล

นักการศึกษา ยกตัวอย่างการสอนสิทธิเด็กตั้งแต่ ป.4 ว่า เด็กทุกคนต้องปลอดภัยและได้รับการพัฒนา แต่วันนี้เด็กเห็นกับตาว่าสิ่งที่ครูสอนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนเขามันตรงกันข้าม เด็กเห็นชัด ๆ เลยว่า ผู้ใหญ่สอนอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง มันเขย่าความเชื่อเด็กหมดเลยว่า โลกที่ครูกำลังสอนอยู่ กับ โลกที่เป็นอยู่ ช่องว่างมันห่างมากเลย

ผศ.อรรถพล ยังย้ำว่า ไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกและอาเซียน การปลูกฝังให้เด็กเป็นทั้งพลเมืองท้องถิ่น พลเมืองของชาติ และพลเมืองโลกไปพร้อมกันเป็นสิ่งสำคัญ จึงไม่จำเป็นต้องเลือกเป็นแค่คนไทยอย่างเดียว แต่สามารถคำนึงถึงการเป็นเมืองโลกได้ด้วย เพราะสังคมไทยมีความหลากหลายและพึ่งพากันมาแต่เดิม พร้อมทั้งเตือนว่า ความเกลียดชังหากไม่ควบคุมจะลุกลาม จึงต้องเลือกว่าจะผลิตซ้ำหรือยุติ และการลดอคติต่อเพื่อนบ้านไม่ได้แปลว่าไม่รักชาติ เพราะเหนือกว่าความเป็นพลเมืองของรัฐ ทุกคนคือมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน

กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่ต้องยืนบนหลักการพื้นฐาน คือ เด็กทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษา ขณะเดียวกันต้องสร้างห้องเรียนที่ปลอดภัย ชักชวนให้เด็กและครูร่วมถกเถียงถึงประเด็นเปราะบาง เช่น ความขัดแย้งชายแดน เป็นโอกาสในการฝึกให้เด็กคิดเชิงวิพากษ์ มองจากหลายมุม ไม่ใช่เพียงท่องจำเรื่องราวจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ที่มักเล่าผ่านกรอบของผู้แพ้และผู้ชนะ ที่ผ่านมาการสอนยังแยกประวัติศาสตร์ไทยออกจากประวัติศาสตร์โลก ทำให้เด็กไม่เห็นความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ในประเทศกับบริบทระดับภูมิภาคและนานาชาติ

สอดคล้องกับ รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน ให้ความเห็นกับ The Active ว่า สิทธิทางการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก ซึ่งควรได้รับการพัฒนาโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติหรือเชื้อชาติ พร้อมย้ำว่าประเทศไทยมีประเพณีการคุ้มครองสิทธิเด็กมาโดยตลอด ไม่เคยปฏิเสธสิทธิเพราะสาเหตุทางสัญชาติ

แนวคิดจำกัดสิทธิการศึกษาแก่เด็กต่างชาติขัดต่อจริยธรรมสากล และอาจกระทบภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในเวทีอาเซียนและนานาชาติ อีกทั้งยังขัดต่อปฏิญญาอาเซียนและหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งไทยยอมรับและปฏิบัติมาโดยตลอด

โดยเตือนว่าผู้เสนอแนวคิดนี้ ต้องทบทวนอย่างรอบคอบ เพราะนอกจากเป็นการสวนกระแสจริยธรรมโลกแล้ว ยังเสี่ยงทำลายเกียรติประวัติของประเทศไทยที่เคยให้ความเมตตาและดูแลเด็กทุกกลุ่ม ไม่ว่ามาจากชาติใด

“ความเป็นเด็ก คือความชอบธรรมที่ต้องได้รับการศึกษา ไทยไม่เคยปฏิเสธสิทธิ์นี้มาตั้งแต่โบราณ การทวนกระแสเช่นนี้ร้ายแรงและกระทบศักดิ์ศรีประเทศ”

รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active