นักสิทธิฯ หวั่นรัฐใช้คดีปิดปาก ‘ธนพร’ หลังศาลอุทธรณ์ยืนโทษคดีชุมนุมโดยสงบ

“ธนพร” นักปกป้องสิทธิแรงงาน ยืนยันสู้ต่อหลังศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้าน PI ชี้ขัดหลักสิทธิมนุษยชนสากล

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ธนพร วิจันทร์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านแรงงานและผู้นำสหภาพแรงงาน พร้อมด้วย อธิวัฒน์ เส้งคุ่ย ทนายความสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้าฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ธนพรตกเป็นจำเลยจากการร่วมกับแรงงานข้ามชาติเรียกร้องมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19

ศาลอุทธรณ์ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการอ่านคำพิพากษา และมีคำตัดสิน “ยืนตามศาลชั้นต้น” ให้จำคุก 1 เดือน ปรับ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี เนื่องจากจำเลยไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน โดยก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2565 ว่า ธนพร มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีรวมตัวเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์ที่กระทรวงแรงงาน โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวฝ่าฝืนข้อกำหนดด้านสาธารณสุขในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน

ธนพรและทีมทนายความได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อ 29 มีนาคม 2566 โดยอ้างเหตุผลหลัก 4 ประการ ได้แก่

  1. การชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ควรถูกจำกัดด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
  2. ประกาศที่ใช้อ้างบังคับคดีเกินขอบเขตอำนาจกฎหมาย
  3. กิจกรรมดังกล่าวไม่ได้ปลุกปั่น ยุยง หรือก่อความไม่สงบ
  4. สถานการณ์ฉุกเฉินได้ยุติลงแล้ว การกระทำจึงไม่ควรเป็นความผิด

หลังฟังคำพิพากษา ธนพร ระบุว่า ตนเคารพคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ แต่ยืนยันว่า การรวมตัวครั้งนั้นเป็นการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานโดยสงบ เพื่อเรียกร้องสิทธิที่แรงงานข้ามชาติพึงได้รับในช่วงโควิด-19 และศาลไม่ได้พิจารณาประเด็นข้อเท็จจริงที่ยื่นอุทธรณ์ไป โดยเฉพาะเรื่องสถานที่ชุมนุมที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ พร้อมยืนยันว่าจะยื่นฎีกา เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐรับผิดชอบ

“ที่สำคัญ ผู้ฟ้องเราคือเจ้าหน้าที่รัฐจากกระทรวงแรงงาน ซึ่งควรเป็นผู้แก้ปัญหาให้เรา เราจึงรู้สึกว่านี่เป็นคดีฟ้องปิดปาก และเป็นการตอบโต้ที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐ”

ธนพร วิจันทร์

ด้าน อธิวัฒน์ เส้งคุ่ย ทนายความของธนพร ระบุว่า ในคดีลักษณะเดียวกัน ศาลมีแนววินิจฉัยแตกต่างกัน โดยบางคดีศาลยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ มีมาตรการป้องกันโรค และไม่ก่อความเสี่ยงต่อสาธารณสุข ขณะที่บางคดีกลับรับรองการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อจำกัดเสรีภาพ

ในกรณีของธนพร ทนายความชี้ว่า การชุมนุมเกิดขึ้นในพื้นที่โล่งแจ้ง มีการป้องกันโรค และไม่พบการติดเชื้อจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์ไม่พิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ตามที่ยื่นอุทธรณ์ ทั้งนี้ ทีมทนายจะขอคัดคำพิพากษาเพื่อนำไปศึกษารายละเอียดและเตรียมยื่นฎีกาต่อไป

ขณะเดียวกัน ปรานม สมวงศ์ จากองค์กร Protection International (PI) ระบุว่า หากพิจารณาตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ คำตัดสินดังกล่าวขัดต่อมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะสิทธิในการชุมนุมโดยสงบซึ่งรับรองภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) มาตรา 21 ปรานมชี้ว่า ปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ปี 1998 ก็ระบุชัดว่ารัฐต้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิไม่ให้ถูกดำเนินคดีจากการทำหน้าที่ การนำกฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้จำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเมืองและแรงงาน โดยปราศจากความจำเป็นและไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีของรัฐ

“การลงโทษเช่นนี้คือการทำให้ความกล้าหาญกลายเป็นอาชญากรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง รัฐควรปกป้อง ไม่ใช่ลงโทษผู้หญิงที่ลุกขึ้นยืนเพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน”

ปรานม สมวงศ์

สำหรับคดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ธนพรในฐานะตัวแทนแรงงานข้ามชาติและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่กระทรวงแรงงาน ร่วมกับเครือข่ายแรงงานและแรงงานข้ามชาติ เพื่อเรียกร้องให้รัฐดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการยื่นหนังสือ แรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาที่ร่วมกิจกรรมถูกจับกุมภายในบริเวณกระทรวงแรงงาน ทำให้ต่อมาเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินคดีกับธนพร โดยเริ่มจากข้อหาช่วยเหลือหรือซ่อนเร้นบุคคล ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะเปลี่ยนข้อหาเป็น “ร่วมกันจัดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค” อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active