วันที่รอคอย! ‘กฎหมายชาติพันธุ์’ บังคับใช้แล้ว ก้าวประวัติศาสตร์แห่งการยอมรับตัวตน บนความเท่าเทียม

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ “พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568” มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ ตอกย้ำบทบาทรัฐ พึงส่งเสริม ให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้รับสิทธิดำรงชีวิตตามวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตตั้งเดิม อย่างสงบสุข

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 18 กันยายน 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ “พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568” โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา โดยพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ในประกาศราชกิจจานุเบกษา ยังระบุ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กลุ่มชาติพันธุ์มีอัตลักษณ์และการสั่งสมทางวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความเชื่อตามจารีตประเพณีเป็นของตนเอง รวมทั้ง มีความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสังคมไทย

จึงมีความจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดำรงวิถีชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามหลักสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ประกอบกับมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตตั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย ดังนั้นสมควรให้มีกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น

สำหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 หรือ “กฎหมายชาติพันธุ์” มีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม, ส่งเสริมศักยภาพ และ สร้างความเสมอภาค โดยเน้นสาระสำคัญ  5 ข้อ

  1. วางหลักการในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์

  2. กลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

  3. การจัดตั้งสภากลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย

  4. จัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ ในการกำหนดนโยบายด้านชาติพันธุ์

  5. จัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

โดยกฎหมายฉบับนี้ ตามบทบัญญัติในบททั่วไป มาตรา 5 ถึง มาตรา 12 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นหัวใจของกฎหมาย ที่ต้องทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม โดยเฉพาะ มาตรา 9 ที่กำหนดให้ กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน

“มาตรา 9 (4) สิทธิในการปกป้องและได้รับการคุ้มครองจากการกระทำใด ๆ ที่จะทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติ และที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้และยินยอมล่วงหน้า เพื่อการใช้สิทธิโต้แย้งทางกฎหมายอย่างอิสระ สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจะจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และสิทธิในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว”

ขณะที่ในหมวด 5 มาตรา 37, 38, 39 พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กำหนดให้เดินหน้าจัดการทรัพยากรร่วม แต่ต้องไม่กระทบ หรืออยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.อุทยานฯ

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ตัวแทนองค์กรภาครัฐ ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนกฎหมายชาติพันธุ์ ระบุกับ The Active ก่อนหน้านี้ว่า กฎหมายนี้จะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากที่เคยต่างคนต่างทำ ให้ร่วมหนุนเสริมให้กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงสิทธิต่าง ๆ เช่น การศึกษา, การเข้าถึงการรักษาพยาบาล, การดำรงวิถีวัฒนธรรม, สิทธิส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร

ที่สำคัญยังมีกลไก สภาคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ข้อเสนอการแก้ไขปัญหา ไปพร้อมกับการหนุนเสริมกลุ่มชาติพันธุ์สู่ระดับนโยบาย ภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมถึงมีตัวแทนกระทรวง หน่วยงาน และภาคประชาชน

นอกจากนี้ยังมีทางเลือกในการแก้ปัญหาที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เช่น ข้อพิพาทที่ดิน ด้วยกลไก พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้มีส่วนร่วมดูแลจัดการทรัพยากรบนฐานองค์ความรู้ภูมิปัญญาศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์

​“เมื่อเกิดการโอบรับความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ หนุนเสริมคุ้มครองพวกเขา สิ่งนี้จะเป็นพลังสำคัญต่อส่วนร่วมพัฒนาประเทศ ซึ่งกฎหมายนี้ จะไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มชาติพันธุ์ แต่จะเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวม ใน 3 มิติสำคัญ ทั้งมิติการสร้างความมั่นคงที่มีเสถียรภาพของประเทศ มิติด้านเศรษฐกิจ เพราะชาติพันธุ์มีต้นทุนวิถีวัฒนธรรมที่หลากหลาย และมีเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ จะทำให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มิติสุดท้าย คือ ส่วนร่วมจัดการดูแลทรัพยากรที่เป็นความมั่นคงแท้จริง เพราะกลุ่มชาติพันธุ์มีองค์ความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยในระดับนานาชาติ แผนเรื่องการจัดการชีวภาพ มีการพูดถึงการกลับไปหาภูมิปัญญาชาติพันธุ์ เพื่อใช้ภูมิปัญญานั้นในการรักษาสภาพแวดล้อมของโลกนี้ไว้ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นกลยุทธ์ เป็นสมบัติ เป็นความรู้ ที่รัฐไทยหรือประชาชนไทยมีอยู่แล้ว เพียงแต่จะดึงมาใช้ประโยชน์ในการจัดการทรัพยากรร่วมกัน”



Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active