ย้ำ การค้นตัวโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้อับอาย คุกคามปิดกั้นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่ ‘เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง’ แถลงการณ์เวทีรับฟังความคิดเห็น บิดเบี้ยวจากหลักการสากล เชื่อจัดเวที เพื่อให้ครบตามขั้นตอนการทำโครงการเท่านั้น
จากกรณีเจ้าหน้าที่บุกเข้าตรวจค้นตัวแทนเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ในเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) รายงานผลการศึกษาโครงการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ต้องการค้นอาวุ
ชํานัญ ศิริรักษ์ ทนายความด้านสิ่งแวดล้อม โพสต์แสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสมาชิกเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ที่เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ใช่เพียงการคุกคามแบบทำให้อับอาย และละเมิดสิทธิ แต่ถือว่าเข้าข่ายการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งมีฐานความผิดทางอาญาด้วย

“ผมดูแล้วเห็นว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นในสถานที่ ที่มีคนจำนวนมากที่มีลักษณะทำให้อับอาย คุกคาม ปิดกั้นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์หรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์”
ทนายชํานัญ ยังระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่อาจมีลักษณะที่อาจจะเป็นความผิดฐานกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (มาตรา 6) ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 36) ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้
พร้อมทั้ง ย้ำว่า กฎหมายฉบับนี้มีใช้บังคับมาระยะหนึ่งแล้วแต่ปัจจุบันเห็นว่าเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนยังค่อนข้างละเลย หรือไม่ตระหนักในการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฎหมายฉบับดังกล่าวอยู่พอสมควร
ขณะที่ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ได้ออกแถลงการณ์หลังจากเกิดเหตุว่า ได้รับหนังสือเชิญในวันอังคารที่ 16 กันยายน 2568 ซึ่งทางเครือข่ายฯ ได้เดินทางไปเข้าร่วม โดยระบุว่าการจัดเวที ประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) รายงานผลการศึกษาโครงการจัดทำข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ทั้งในรูปแบบการเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น การยื่นหนังสือต่อหน่วยงาน หรือการแสดงออกในรูปแบบอื่นใดโดยสันติวิธี เป็นสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครอง และถือเป็นสิทธิการมีส่วนร่วมในสิ่งแวดล้อมภายใต้หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โดยหน่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้จัด มีหน้าที่ต้องเคารพให้ความสำคัญและประกันรับรองให้กระบวนการมีส่วนร่วมนั้นเกิดขึ้นโดยเสรี ปราศจากการปิดกั้นข่มขู่คุกคาม แต่เหตุที่เกิดขึ้นมีลักษณะปิดกั้น และขาดหลักการการมีส่วนร่วมโดยสิ้นเชิง โดยตั้งข้อสังเกตจาก
- บรรยากาศของห้องประชุม ที่มีการจัดกำลัง อส.ไว้ทั่วห้อง
- ละเมิดสิทธิและมีพฤติการณ์ในการคุกคามทำให้หวาดกลัวต่อผู้เข้าร่วมประชุมโดยการที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาขอค้นกระเป๋าโดยเฉพาะสุภาพสตรี ละเมิดความเป็นส่วนตัว โดยเป็นการเลือกค้นเฉพาะบุคคลซึ่งไม่ได้มีพฤติการณ์หรือมีเหตุอันควรสงสัยใด ๆ เจ้าหน้าที่ไม่มีการแจ้งถึงสาเหตุการค้นที่ชัดเจน ทั้งที่ผู้เข้าร่วมมีหนังสือเชิญเข้าร่วมประชุมอย่างชัดเจน หากเพื่อรักษาความปลอดภัยก็ควรปฏิบัติกับผู้เข้าร่วมทุกคนก่อนเข้าห้องประชุมมิใช่การเข้ามาค้นเฉพาะบุคคลและในระหว่างการจัดการประชุม
- สถานที่จัดเป็นสถานที่เอกชน หรูหรา การเดินทางห่างไกลจากเมือง ประชาชนเข้าถึงยาก แทนที่จะใช้หอประชุมจังหวัดที่เป็นสถานที่ราชการ ประชาชนรู้จักเป็นอย่างดีและการเดินทางเข้าถึงง่าย
- การปิดกั้นการแสดงความเห็น และไม่ใช่การรับฟังโดยแท้จริง เมื่อผู้เห็นต่างแสดงความคิดเห็นก็จะพยายามเร่งเร้าและรวบรัดให้จบการพูด แต่เมื่อมีผู้พูดเห็นด้วยก็ปล่อยให้พูดยืดยาว รวมถึงให้ตัวเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ออกมาพูดโต้แย้งกับประชาชนที่เห็นต่าง
ดังนั้นทาง เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งจึงขอประณาม สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ที่ร่วมกันดำเนินการให้เกิดเวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นฯ ที่มีลักษณะบิดเบี้ยวจากหลักการสากล สร้างบรรยากาศคุกคาม หวาดกลัว ให้ผู้เข้าร่วมเพียงเพื่อต้องการดำเนินงานให้ครบตามขั้นตอนก่อนการประกาศผนวกรวมจังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่ขยาย EEC เท่านั้น