เชื่อ เป็นก้าวสำคัญ คุ้มครองสิทธิชาติพันธุ์ในไทย พร้อมรับรองคุณค่าแห่งภูมิปัญญา ที่สำคัญต่อประเทศ ยืนยัน หลักความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ หวัง ปรับปรุงเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการได้ เพื่อทำให้กฎหมายบรรลุศักยภาพได้อย่างเต็มที่
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความยินดีกับการประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ของประเทศไทยว่าด้วย การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย
ซินเทีย เวลิโก ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ และการรับรอง ภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าและบทบาทที่สำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อประเทศชาติ โดยกฎหมายนี้ทำให้ชุมชนที่ถูกทำให้อยู่ชายขอบมาอย่างยาวนาน มีเสียงที่แท้จริงในการกำหนดการตัดสินใจที่มีผลต่อชีวิตของพวกเขา
พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2568 ยืนยัน หลักการความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติ ห้ามมิให้มีการใส่ร้ายและการแสดงถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มชาติพันธุ์ และรับรองสิทธิมนุษยชนหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการคุ้มครองภาษา ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมประเพณี การเข้าถึงการศึกษาที่ชุมชนกำหนดเอง บริการสาธารณะและสวัสดิการ ตลอดจนสิทธิในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ภายใน พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
ที่สำคัญ กฎหมายฉบับนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ในการตัดสินใจ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา รวมถึงการจัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ในการมี ส่วนร่วมกำหนดนโยบาย
ทั้งนี้ยังเห็นว่า บทบัญญัติบางประการยังสามารถปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้กฎหมายบรรลุศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้รับรองสถานะของชนเผ่าพื้นเมืองโดยชัดเจน และหลักการ “การให้ความยินยอมโดยมีการบอกแจ้งเข้าใจล่วงหน้า และเป็นอิสระ” (Free, Prior and Informed Consent – FPIC) ถูกสะท้อนเพียงบางส่วนเท่านั้น ทั้งที่ประเทศไทยให้การรับรองปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) เมื่อปี 2550 ซึ่งมีบทบัญญัติเรื่องสิทธิเชิงกลุ่มในการดำรงอัตลักษณ์ (collective rights to an identity) ของชนเผ่าพื้นเมือง นอกจากนี้ยังคงมีข้อจำกัดของสิทธิชุมชมในที่ดินภายใต้กฎหมายคุ้มครองป่าไม้ที่เข้มงวด
“การรับรองสถานะของชนเผ่าพื้นเมืองอย่างชัดเจน แยกจากกลุ่มชาติพันธุ์หรือชนกลุ่มน้อยนั้น เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรับรองความผูกพันอันลึกซึ้งของพวกเขาที่มีต่อผืนดินและทรัพยากร ตลอดจนสิทธิทางกฎหมายที่ตามมา การรับรอง ดังกล่าวถือเป็นรากฐานสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธรรมเนียมปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง”
ซินเทีย เวลิโก