ฟังเสียงประชาชน ในวันที่ นายอนุทิน ฉีก MOA คงอำนาจ สว. ประกาศ “ยุบสภาฯ คืนอำนาจให้ประชาชน” ส่องปัจจัยเสี่ยง-เลื่อนการเลือกตั้ง
13 ธ.ค.68 วันที่ถูก “คืนอำนาจ” คือ วันที่ประชาชนได้รับโอกาส ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง และ มีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อกำหนดอนาคตประเทศ โดยเฉพาะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ป็นของทุกคน แต่สำหรับการ “ยุบสภาฯ” ในครั้งนี้ จะเรียกได้เต็มปากไหมว่าเป็นการคืนอำนาจประชาชนได้อำนาจคืนแล้วอย่างแท้จริง
เพราะเป็นการ ชิงยุบสภาฯ หลัง พรรคประชาชน เตรียมยื่นญัตติ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะที่นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินหน้าพลิกเกมการเมืองฉีก MOA ที่ทำร่วมกับพรรคประชาชน ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ไปต่อ และยังคงไว้ซึ่งอำนาจวุฒิสภาฯ โดยให้อำนาจ สว. 1 ใน 3 ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เปิดเผยกับ The Active ว่า หากดูในแง่หลักการ การคืนอำนาจ ให้เลือกตั้งใหม่ เป็นหลักการพื้นฐาน เมื่อการบริหารประเทศไม่สามารถไปต่อได้ ประชาชนก็จะใช้สิทธินั้น แต่ในแง่ของ โครงสร้างการเมือง กลับพบว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนหลักการประชาธิปไตย เพราะประชาชนเลือกพรรคก้าวไกล แต่พรรคก้าวไกล ไม่สามารถบริหารประเทศได้ เนื่องจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้กับ สว. การคืนอำนาจประชาชน ในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็น
การคืนอำนาจภายใต้โครงสร้างอำนาจที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย และมีอิทธิพลจากการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร และมีรัฐธรรมนูญ ที่ค้ำจุนอำนาจนอกระบบ
อีกประเด็น คือ การที่ พรรคภูมิใจไทย ตัดสินใจยุบสภาฯ เป็นการตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน การตัดสินใจเลือก สว. ให้โหวต รธน. ร่วมด้วย 1 ใน 3 เป็นแนวทางของพรรคอนุรักษ์นิยม พรรคภูมิใจไทยเลือกไม่แตะต้อง กับโครงสร้างอำนาจที่จะลดบทบาทของตัวเอง ซึ่งถือเป็นการวางกลยุทธ์ทางการเมืองเอาไว้แล้ว และมองว่า การไปทำ MOA ร่วมกับ พรรคประชาชน ก็เป็น “กลยุทธ์” เพื่อให้สามารถควบคุมโครงสร้างที่จะควบคุมการเลือกตั้งได้ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคประชาชนเองก็จำเป็นต้องถอดบทเรียน และขอโทษประชาชน ที่ตัดสินใจทำ MOA กับ พรรคภูมิใจไทย
“คืนอำนาจให้ประชาชน… เป็นคำกล่าวอ้างถึงหลักการประชาธิปไตย เพื่อให้ดูดี แต่ความจริงยืนอยู่บนผลประโยชน์ตนเองในการรักษาระบอบขั้วอำนาจเก่า และใช้อำนาจนายกฯ ที่ได้เปรียบสามารถคุมเกมการเลือกตั้งได้ ถ้าไม่ได้เปรียบก็คงไม่ยุบสภาฯ”
นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair)

สอดคล้องกับ สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) เห็นตรงกันว่า สิ่งที่น่ากังวลในห้วงเวลา การคืนอำนาจประชาชน คือ การปลุกให้ประชาชนกลับมารู้สึกตื่นตัวกับการไปใช้สิทธิ ใช้อำนาจของตัวเอง เพราะต้องยอมรับว่า หลายครั้งของการเลือกตั้งที่ผ่านมา ค่อยๆ ซึมลึกความรู้สึก “ไม่มีความหวัง และเบื่อหน่ายการเมือง”
ยิ่งเมื่อรู้ว่า การเลือกตั้งรอบนี้ เป็นการเลือกตั้งที่ใช้ทรัพยากร ใช้เงินมากกว่าครั้งอื่น อาจะยิ่งทำให้เนื้อหา นโยบายในการหาเสียงถูกลดความสำคัญลงไป เพราะธงของพรรคภูมิใจไทยชัดเจนแล้วว่าเป็นพรรคที่ต้องกลับมาเป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล และมีตัวเลือกอีกหลายพรรค ที่กลับมาปรับตัว ทำให้การแข่งขันทางการเมืองรอบนี้มีตัวเลือก และการแข่งขันที่เข้มข้น และน่าจะมาพร้อมเงิน และทรัพยากรที่มากพอสมควร
ชาวบ้านจึงคาดการณ์ว่า ใครทุ่มทรัพยากรเยอะที่สุด ก็น่าจะหวังทางการเมืองได้มากที่สุด พอพูดว่าคืนอำนาจเขาก็ไม่รู้สึกว่าได้อำนาจกลับ เพราะรู้กันอยู่ว่าการเมืองไทยภายใต้ รธน.ฉบับเดิม แทบไม่มีความหวัง
“คืนอำนาจให้ประชาชน… ถ้าอารมณ์ ประชาชนไม่ไป ก็ไม่ได้รู้สึกว่า ถูกคืนอำนาจ เพราะรู้กันอยู่ว่า การเมืองไทยภายใต้ รธน.ฉบับเดิม แทบไม่มีความหวังด้วยซ้ำว่า เลือกตั้งแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงจากครั้งที่ผ่านมาอย่างไร”
สมบูรณ์คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)ยุบสภาฯ ส่งผลต่องาน ภาคประชาชน อย่างไร ?
นายสมบูรณ์ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความผิด ของ พรรคประชาชน ตั้งแต่ MOU จนถึง MOA หากมองในมิติภาคประชาชน พอจะเข้าใจได้ว่าช่วงเวลานั้น พรรคประชาชน มีทางเลือกน้อย หรือแทบไม่มี ช่องทางที่จะทำให้ประเทศไทยไปต่อได้ การทำ MOA แต่มองว่า เจตนาของพรรคประชาชน ชัดเจน และรู้ว่ามีความเสี่ยงตั้งแต่ต้นในการสนับสนุน นายอนุทิน ที่น่าจะมีความหวังมากกว่าในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ด้วยเหตุปัจจัย ในทางการเมือง ที่กำหนดเงื่อนไขใน รัฐธรรมนูญ ลดอำนาจ สว. จึงไม่มีใครยอมลดอำนาจ สอดคล้องกับ กูรูการเมืองที่มองว่า การเดินเกมของพรรคประชาชน ยังไม่แนบเนียนมากพอ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาชน ได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว และจำเป็นต้องนำเรื่องนี้มาถอดบทเรียน และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองในอนาคตทางการเมืองต่อไป
แต่ท้ายที่สุดแล้วการยุบสภาฯ ยังส่งผลให้กฎหมายสำคัญหลายฉบับไม่ได้ไปต่อ และการเคลื่อนงานสำคัญของภาคประชาชนต้องชะลอไป เช่น เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ที่ผลักดันเรื่องสวัสดิการประชาชน ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาวาระ 1 ที่ผลักดันเรื่องสำคัญ เช่น ห้องให้นมปั๊มนมแม่ในสถานประกอบการ, สิทธิลาคลอด, เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า จาก 800 เป็น 1,000 บาท ก็ต้องยุติไปทั้งหมด ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญที่ต้องอาศัย นายกฯ, ครม.ชุดใหม่ช่วยสานงานต่อ เพื่อยกระดับสวัสดิการของประเทศไทย
ขณะที่ เครือข่ายภาคประชาชน ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P- move เป็นอีกเครือข่าย ที่เคยออกมาเดินขบวนเรียกร้อง กลไกการแก้ปัญหาของประชาชน และเพิ่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ก็ต้องชะลอการแก้ปัญหาออกไป เพราะคณะกรรมการหลายชุด มีนายกฯ นั่งเป็นประธาน โดยในช่วง 2-3 ปี ที่ขับเคลื่อนงาน เปลี่ยนนายกฯ มาแล้ว 3 คน ส่งผลต่อการทำงานที่ไม่ต่อเนื่อง และการเป็นรัฐบาลรักษาการ ก็กังวลว่าหลายปัญหาจะถูกแช่แข็ง เพราะการตัดสินใจทำได้ยาก และการสั่งการไปยังข้าราชการประจำก็มีน้ำหนักน้อยกว่าการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
กระแสซึมลึก เลือกตั้งแล้วได้อะไร ? ส่องปัจจัยส่อเลื่อนเลือกตั้ง
เครือข่ายภาคประชาชน และนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ประเมินตรงกันอีกว่า กระแสการเลือกตั้งรอบนี้อาจไม่คึกคัก เมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา หากยังจำกันได้ในการเลือกตั้งช่วงปี 2566 อารมณ์ของคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงสะท้อนผ่านคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ชัดเจนแต่มารอบนี้ไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจว่าพรรคประชาชน ยังพร้อมเป็นความหวังเหมือน 2 ปีที่แล้วอยู่หรือไม่ ?
ขณะที่การเลือกตั้งอาจจะส่อเลื่อนออกไป เพราะ เวลานี้ ประเทศไทยเผชิญวิกฤตรอบด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคงชายแดน และภัยพิบัติ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเลือกตั้งยังไม่มีความชัดเจน
รศ.ธนพร ศรียากูล นักวิเคราะห์การเมือง และผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ย้ำว่า สิ่งที่ประชาชน ต้องให้ความสำคัญในช่วงเวลานี้ คือ การจับตาว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้จริงตามกรอบเวลาหรือไม่ เพราะในทางการกฎหมายจำเป็นต้องจัดพร้อมกันทั่วประเทศ หากยังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนยังยืดเยื้อ ก็ยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ กกต. ก็มีอำนาจขยาย หรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้เช่นกัน โดยการเลือกตั้งล่าช้าที่สุดไม่ควรเกิน 3 เดือน หลังจากการยุบสภาฯ
การยื้อการเลือกตั้งออกไป ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีอย่างแน่นอน เพราะการอยู่ในสภาวะไม่มีสภาฯ ไม่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงการเจรจาในแง่ การทูต การเมือง หรือแม้แต่การเจรจาทางการค้า ก็จะไม่มีน้ำหนัก ซึ่งต้องจับตา เพราะอาจารย์ เชื่อว่า เวลานี้ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง และได้ประโยชน์จากสภาวะทางการเมืองแบบรักษาการ โดยอ้างเหตุผลความไม่สงบตามแนวชายแดน และสถานการณ์ภัยพิบัติภายในประเทศ ซึ่งหากการเลือกตั้งลากยาวออกไป ร้ายแรงที่สุดไทยอาจไปถึงจุด การรัฐประหาร


ด้าน อ.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข นักรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองว่า บรรยากาศทางการเมืองรอบนี้ไม่ได้เอื้อ ให้คนรู้สึกอยากออกไปใช้สิทธิ เพราะกระแสซึมลึกที่รู้สึกว่าไม่ได้อะไรจากการเลือกตั้ง
อาจารย์ย้ำว่าในวันที่ 14 พ.ค. 2566 หลังการเลือกตั้ง ประเทศไทยเปลี่ยนนายกฯ ไปแล้ว 3 คน เกิดกระแสซึมลึกที่ถูกทำให้เชื่อว่า การเลือกตั้งเปลี่ยนไม่ได้ หลายนโยบายสะดุด และไม่เกิดการแก้ปัญหา เช่น ปัญหาทุนเทาที่จับต้องได้ง่าย ก็ยังแก้ไม่ได้, รธน.60 ก็ออกแบบไว้ให้ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ และนโยบายระยะสั้น ลด แลก แจก แถม ก็ยังคงขายได้ ทำให้ประชาชนรู้สึกเหมือนเดิมว่า การเลือกตั้งไม่ได้ทำการเมืองเปลี่ยนไป…
สอดคล้องกับภาคประชาชนที่มองว่า ความท้าทายของการเลือกตั้งรอบนี้ จะทำอย่างไร ประชาชนรู้สึกตื่นตัวอีกครั้ง นอกจากนี้ยัง คาดการณ์ว่า หลังยุบสภาฯ การปกป้องประชาธิไตย “กระแสรักชาติ” จะกลายเป็น คะแนนนิยมของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ในขณะฝ่ายเสรีนิยม จะสร้างคะแนนนิยมผ่านวลี “มีเรา ไม่มีเทา”
อาจารย์ทิ้งท้ายว่า การเลือกตั้ง ถือเป็นอิฐก้อนแรก เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมบนหลักการประชาธิปไตย และการเมืองไทยไม่สามารถเปลี่ยนได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

