สว. รับหลักการ ‘กม.ชาติพันธุ์’ ตั้ง กมธ.ถกร่างฯ ใน 30 วัน  

เสียงส่วนใหญ่เห็นพ้อง สนับสนุนกฎหมายให้เกิดการคืนสิทธิ คุ้มครองวิถีชีวิต วัฒนธรรม พื้นที่ดั้งเดิมตั้งแต่บรรพบุรุษของกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมสร้างส่วนร่วมจัดการ รักษา ทรัพยากร ขณะที่ ภาคประชาชน เชื่อ สว. เข้าใจมากกว่า สส. หวังเติม ‘พื้นที่คุ้มครองฯ’ ให้สมบูรณ์

วันนี้ (17 ก.พ. 68) ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 15 มีวาระเร่งด่วน การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พศ.… ที่สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาเห็นชอบแล้วในวาระ 2 และ 3 เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา 

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ โดยกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี ให้เสนอ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิต พศ. เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณา โดยมีหลักการเหตุผลสำคัญดังนี้ 

“ให้มีกฎหมายเพื่อคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมาตรา 70 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริม และให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคม ตามวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตเดิม ตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย ดังนั้นสมควรมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตรากฎหมายนี้” 

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล 

จากนั้น ศักดิ์ดา แสนมี่ ในฐานะผู้แทนภาคประชาชนที่ร่วมเสนอกฎหมาย บอกว่า กฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่ต้นทาง คือ ร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ซึ่งในชั้นการพิจารณาของ สส. หลอมรวมเป็นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิติกลุ่มชาติพันธุ์ ได้ย้ำถึงความต้องการที่จะให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่มีการรับรองความเป็นชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย รวมถึงการยอมรับสภาชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งความหมายชนเผ่าพื้นเมือง ก็เป็นสาระสำคัญ ที่อยากเรียนว่าชนเผ่าพื้นเมืองที่ให้นิยามไว้ในกฎหมายก่อนหลอมรวมร่างฯ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยในประเทศไทย และอุษาคเนย์มายาวนาน มีวิถีชีวิต อัตลักษณ์ องค์ความรู้ สืบทอดวิถีชีวิตของตนเอง เป็นกลุ่มชนที่มีการสืบเนื่องประวัติศาสตร์ที่พึ่งพาทรัพยากร พื้นที่ที่อาศัย ไม่ได้เป็นกลุ่มครอบงำสังคม หรือมีความแตกต่างในภาคส่วนสังคม 

“ส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ ที่เรานิยามชนเผ่าพื้นเมือง คือ การระบุตนเองเป็นชนเผ่าพื้นเมือง หวังว่าในชั้น กมธ. จะโอบรับเรื่องนี้เข้าไปหลอมรวมอยู่ด้วย ซึ่งในร่างฯ นี้ก็ในความหมายกลุ่มชาติพันธุ์ จะหมายรวมถึงเราที่เริ่มต้นเสนอกฎหมายด้วย”  

ศักดิ์ดา แสนมี่

‘สว.อังคณา’ ย้ำ กม.ชาติพันธุ์ ไม่ได้นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน

อังคณา นีละไพจิตร คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวว่า จากที่ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ. ในมิติสิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมประชาชน โดย กมธ.มีความเห็น ข้อสังเกตสำคัญ คือ ประการแรก เห็นว่า ชื่อร่าง พ.ร.บ. ควรเพิ่มคำว่า ชนเผ่าพื้นเมือง ด้วย  เนื่องจากเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ ต้องการให้ ส่งเสริมคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ และชนเผ่าพื้นเมือง ล้วนอาศัยในประเทศไทยมาช้านาน ใช้ชีวิตอย่างสันติ มิได้รุกราน รวมถึง ไม่ได้เป็นกลุ่มครอบงำทางเศรษฐกิจสังคม หรือการเมือง และชุมชนอื่น มีภาษา แบบแผน วัฒนธรรม ชุมชนท้องถิ่น รวมถึงมีการใช้และรักษาทรัพยากรท้องถิ่นของตน  ทั้งนี้ชนเผ่าพื้นเมือง ไม่ได้มีแค่ประเทศไทย แต่คนพื้นเมืองมีอยู่ทุกพื้นที่ทั่วโลก 

อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา

ในส่วนของประเทศไทย ในฐานะได้รองรับสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ผ่านปฏิญญา ว่าด้วยสิทธิชนพื้นเมือง หรือ UNDRIP เมื่อปี 2550 นอกจากนั้นประเทศไทยยังได้ให้สัตยาบัน กติการะหว่างประเทศ เพื่อสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง อนุสัญญาว่าด้วยเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ซึ่งพันธกรณีระหว่างประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนต้องคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง   

แม้พันธกรณีระหว่างประเทศ จะเป็น non legally binding หรือไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย แต่พันธกรณีเหล่านี้ มีผลผูกพันให้ประเทศไทย ในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ ต้องนำมาปฏิบัติทั้งการตรากฎหมายภายในประเทศ หรือการออกแนวปฏิบัติต่าง ๆ ให้สอดคล้อง อนุสัญญา คณะอนุกรรมการจึงเห็นว่า การบัญญัติถ้อยคำดังกล่าว ไม่เป็นการเลือกปฎิบัติ ให้ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิเหนือคนอื่น หากแต่เป็นการรับรองสิทธิให้ผู้ที่อยู่มาก่อนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี ภาษาของตน ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี สงบสันติ 

“การระบุคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง ไม่อาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 1 ราชอาณาจักรไทยเป็นราชอาณาจักรอันเดียว แบ่งแยกไม่ได้ การบัญญัติกฎหมายใดย่อมไม่สามารถทำลายหลักการดังกล่าว นอกจากนั้นประเทศไทยมีถ้อยแถลงตีความในส่วนที่ 1 ของกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง และอนุสัญญาสิทธิทางเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรมของสหประชาชาติ เรื่องการใช้สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง ซึ่งไทยมิให้ตีความอนุญาต หรือสนับสนุนใครให้มีการแบ่งแยกดินแดน”  

อังคณา นีละไพจิตร 

การกำหนดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เรื่องจากรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 27 วรรค 1 กำหนดให้ทุกคนเสมอภาคทางกฎหมายมีสิทธิเสรีภาพได้รับการคุ้มครองเท่าเทียม มีหลักประกันในที่อยู่ที่ทำกินต่มวิถีชีวิต รวมทั้งมาตรา 70 ให้มีสิทธิดำรงค์วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม 

คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติ 3 ประเด็น ประกอบด้วย

  1. ในเรื่องการกำหนดพื้นที่คุ้มครองฯ จะต้องเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงระหว่งชุมชนกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ก่อนมีการประกาศ มีการทำแผนแม่บทชัดเจน คำนึงส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับรัฐ การบังคับ ไล่รื้อ

  2. การทำข้อมูลพื้นที่มีความอ่อนไหวแตกต่างกัน อาจกระทบกฎหมายอื่น จึงกำหนดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ แต่อยู่บนหลักการคุ้มครองวิถีชีวิตเป็นสำคัญ

  3. เรื่องการอยู่อาศัย ใช้ที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ ควรมีข้อกำหนดหรือธรรมนูญ เกณฑ์การใช้พื้นที่ร่วมกัน ใช้ทรัพยากร เป็นธรรมยั่งยืน ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายระบบนิเวศ เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข ตามระเบียบที่คณะกรรมการคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กำหนด 
ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา

‘สว.ประภาส’ ชี้ พื้นที่คุ้มครองฯ ปกป้องทรัพยากรยั่งยืน

ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา บอกว่า ร่างกฎหมายฯ จะเป็นกลไกสำคัญ ให้พี่น้องชาติพันธุ์ใช้ปกป้องคุ้มครอง วิถีวัฒนธรรม อัตลักษณ์ ที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม และปกป้องคุ้มครองในฐานทรัพยากร ดินน้ำ ป่า ถ้ามองหลักการที่ชี้แจง จะนำมาปกป้องคุ้มครอง การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

หลักการสำคัญ คือ การจัดการทรัพยากรร่วม ย้ำไม่ใช่การยกทรัพยากรให้พี่น้องชาติพันธุ์ แต่เป็นการบริหารจัดการทรัพยากรร่วม เป็นหลักการที่ทั่วโลกทำกัน และกว่าจะเป็นร่างกฎหมายนี้ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) ได้มีการวิจัย และได้ทดลองนำร่องพื้นที่คุ้มครองฯ 24 แห่ง มีบทเรียน จนเกิดหลักการสำคัญ เพื่อสร้างความเข้าใจ และสำคัญคือ ไม่ได้เป็นการยกที่ดินให้กับพี่น้องชาติพันธุ์ ที่กำลังเกิดความเข้าใจผิด ๆ กันอยู่ตอนนี้ จึงสนับสนุนหลักการร่างกฎหมายนี้

‘สว.เทวฤทธิ์’ เสนอเติม ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’

ขณะที่ เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา ชี้ว่า ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ที่ถูกตัดประเด็น ชนเผ่าพื้นเมือง ไปนั้น ทั้งที่ตอนรับร่างวาระ 1 ของ สส.ก็รับทั้ง 5 ร่าง โดย 3 ใน 5 มีประเด็น ชนเผ่าพื้นเมือง หากไปดูรัฐธรรมนูญ ม.70 ตามความมุ่งหมายของมาตรานี้ อ้างจากเอกสาร ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 จัดทำโดย คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หน้าที่ 107 ระบุไว้ชัดเจนว่า

เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา

“ระบุไว้ชัดว่าเพื่อให้สอดคล้องกับ พันธกรณีหรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ในที่นี้อันที่สำคัญคือ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนพื้นเมือง United nation Declaration on the rights of Indigenous Peoples (UN RIP) ซึ่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบใน ปี 2550 แถมในเอกสารดังกล่าวยังมีหมายเหตุด้วยว่า มีข้อเสนอให้เพิ่มเติมคำว่า ชนเผ่าพื้นเมือง ต่อจากคำว่า กลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มและสอดคล้องกับนิยามของสหประชาชาติ”

เทวฤทธิ์ มณีฉาย

‘สว.พรชัย’ ย้ำกฎหมายไม่ได้ให้อภิสิทธิ์ชาติพันธุ์

เช่นเดียวกับ พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้นำเรื่องราวของเด็กชาวเลมอแกลนที่เกิดในไทย แต่เพราะข้อจำกัดต่าง ๆ อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ครอบครัวไม่มีความรู้กฎหมาย ทำให้เข้าไม่สิทธิด้านต่าง ๆ ทั้งการศึกษา สุขภาพ การพัฒนาสาธารณูปโภค ที่ดินดั้งเดิมของบรรพบุรุษ

แม้ปี 2553 จะมีมติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล แต่เป็นแค่มติ ครม.ก็ยังไม่คืบหน้า ปี 2559-2561 มีข้อเสนอแผนปฏิรูปเพื่อเสริมสร้างสิทธิชาติพันธุ์ แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม ปี 2562 ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ถูกโหวตตก ปี 2568 ผ่านวาระ 1 แต่มาตรา 27 เรื่องพื้นที่คุ้มครองฯ ถูกแก้ให้ไม่สามารถใช้ขัดกับกฎหมายที่ดินเดิม จึงไม่มีสิทธิในที่ดินบรรพชน ซึ่งคนที่ประสบปัญหาแบบนี้มีอีกหลายล้านคน

พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา

ย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ได้เป็นการให้อภิสิทธิ์ชาติพันธุ์ เกินเลยสิทธิคนทั่วไปจะได้ แต่เป็นการคืนสิทธิที่พวกเขาโดนพรากสิทธิไป ส่วนพื้นที่คุ้มครอง ตามมาตรา 37 (หรือในชั้นพิจารณา สส.คือมาตรา 27) ที่คนทั่วไปและ สส.หลายท่านก็เข้าใจผิดมากมาย ซึ่งมาตรานี้ไม่ได้จะให้ที่ดินต่างด้าวเป็นหมื่นๆไร่ อย่างที่มีวาทะกรรมบางพรรคการเมืองทำให้เข้าใจผิด แต่เป็นการคืนสิทธิการใช้ประโยชน์จากพื้นที่คุ้มครอง ที่กลุ่มชาติพันธุ์ควรได้รับสิทธินั้นตั้งแต่ต้น แต่โดนพรากไปโดยนายทุนและกฎหมายอื่น ๆ”

พรชัย วิทยเลิศพันธุ์

‘สว.ชีวภาพ’ หนุนกฎหมาย แต่เห็นต่าง ‘พื้นที่คุ้มครองฯ’ ต้องไม่กระทบสิ่งแวดล้อม

ด้าน ชีวภาพ ชีวธรรม ประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา บอกว่า กมธ.ได้มีการประชุมเรื่องกฎหมายนี้หลายครั้ง ก็มีข้อเสนอแนะอยากให้มองว่า ถ้าจะสร้างกฎหมายอะไรขึ้นมา ต้องนึกถึงเรื่องระบบสิ่งแวดล้อม ประกอบ 4 ส่วน คือ 1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ 2. ทรัพยากรชีวภาพ 3. เศรษฐศาสตร์สังคมที่กี่ยวข้องโดยตรง 4. คุณค่าการใช้ประโยชน์ ทั้งหมด 4 ก้อน ต้องหล่อหลอมอยู่ด้วยกันให้ได้

ชีวภาพ ชีวธรรม ประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา

“ผมพูดตลอด ประชาชนคือมือซ้าย และมือขวา คือ ทรัพยากรกกายภาพ ชีวภาพ มันต้องอยู่ด้วยกันได้ กฎหมายนี้คือทั้ง 2 มือ แต่การเขียนกฎหมายจะต้องไม่ให้มือซ้ายไปทำร้ายมือขวา คือทรัพยากรธรรมชาติ ให้เกิดการปนเปื้อนกฎหมายตัวนี้ คณะกรรมการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมฯ เห็นด้วยในหลักการ”

ชีวภาพ ชีวธรรม

สำคัญคือ ต้องมีความชัดเจนเรื่องการประกาศพื้นที่ต้องดูแลให้ได้ ทำยังไงให้มีกติกาให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ทรัพยากร ต้องไม่รบกวนทรัพยากรตรงนั้นมาก จึงห่วงอย่างเดียววันนี้ว่า เราไปประการโดยขั้นตอนไม่ชัดเจน จะมีปรากฎการณ์เป็นม่อนแจ่ม เป็นภูทับเบิก 1,2,3 – 30 ซึ่งจะคุมไม่ได้เลย ย้ำว่า ไม่อยากให้มือซ้ายมากวนมือขวาเกินไปจนเกิดผลกระทบ จึงต้องพึงนำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4-5 ฉบับที่มีอยู่แล้ว กับกฎหมายใหม่ที่จะร่างขึ้นมา ทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

ภาคประชาชน เชื่อ สว.เข้าใจ หวังเติมเต็ม ‘พื้นที่คุ้มครองฯ’ ให้สมบูรณ์กว่า สส.

สุริยันต์ ทองหนูเอียด ในฐานะตัวแทนผู้ร่วมเสนอร่างกฎหมายฯ ย้ำว่า ข้อมูลต่าง ๆ เป็นหลักประกันว่าไม่ได้ทำให้กฎหมายนี้เป็นอภิสิทธิ์ชน แต่ว่าสิ่งที่พี่น้องในนามของ กลุ่มชาติพันธุ์ และ ชนเผ่าพื้นเมือง โดนกระทำในรอบศตวรรษ คือ ถูกลิดรอนสิทธิ์ ทำยังไงให้สิทธินี้ที่ถูกลิดรอนไป มาเป็นสิทธิที่พึงมีพึงได้ ตามศักดิ์ศรี และความเท่าเทียม ตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ในทุกฉบับ

“ผมคิดว่าเราทุกคนเห็นตรงกันว่า สถานการณ์พี่น้องชาติพันธุ์ที่ดำรงอยู่ในพื้นที่สูง ชาวเล หรือพี่น้องพื้นราบ ล้วนแต่ดำรงชีวิตอยู่อย่างยาก ในสถานการณ์ที่รับผลกระทบ ทั้งนโยบายและการพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยว กระแสหลักของระบบที่เรียกว่าทุนนิยม สิ่งที่เป็นอยู่แบบนี้ ทำให้พี่น้องบนพื้นที่สูง ต้องมาประกอบอาชีพ หรืออยู่ข้างล่าง เปรียบเลือดยังไหลไม่หยุด เพราะเหตุอยู่ข้างบนแล้วไม่มีความมั่นคง ทั้งที่ทำกิน และที่ดินอยู่อาศัย”

“เพราะที่ทำกิน ที่ดิน คือจุดก่อเกิดฐานสิทธิอื่น ๆ การจะคุ้มครองวิถีวัฒนธรรมได้ ต้องให้สิทธิการจัดการที่ดินเกิดความมั่นคงยั่งยืน สิ่งที่ชาติพันธุ์ยืนยัน คือ เขาไม่ต้องการที่ดินเชิงปัจเจกในพื้นที่ที่เขาต้องการคุ้มครองวิถีวัฒนธรรม แต่เขาต้องการหลักการจัดการกรรมสิทธิชุมชน หรือว่าสิทธิชุมชน จะเป็นระบบไร่หมุนเวียน หรือวิถีตามบรรพชน”

สุริยันต์ ทองหนูเอียด

สุริยันต์ ยังมองว่า การอยู่ในพื้นที่สูง ห่างไกล เข้าไม่ถึงการพัฒนา ถนน ไฟฟ้า ปะปา สัญญานอินเทอร์เน็ต ซึ่งช่วงที่เจอกับโควิด สถานการณ์โดยรวมเกือบเป็นอัมพาต แต่การสื่อสารพี่น้องชาติพันธุ์ มีระบบป้องกัน และเขามีหลังพิงคือทรัพยากรไม่ต้องให้รัฐแจกข้าวกล่อง นี่คือศักยภาพ แต่ก็เผชิญปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงสาธาณสุข การศึกษา จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนข้างบนไหลลงข้างล่าง แต่ขณะเดียวกัน คนข้างล่างหรืออภิสิทธิ์ชนจริง ๆ คือ กลุ่มอิทธิพลทางสังคมไหลขึ้นข้างบนกฎหมายต้องแก้

“ดังนั้นเราจะหยุดเลือดไหลลงข้างล่างนี้อย่างไร กฎหมายนี้จะเป็นคำตอบ คือ ให้เขาดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข และสามารถมีส่วนร่วมพัฒนาบ้านเมือง เปลี่ยนสงเคราะห์เป็นการยกระดับการพัฒนาชาติบ้านเมือง กฎหมายนี้มีหลายมาตรา ทั้งเรื่องสิทธิ พื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรม ต้องมีการพิจารณาในชั้น กมธ. ซึ่งเราสามารถพิจารณาตามที่ สว.อังคณา มีข้อเสนอว่าเรื่องพื้นที่คุ้มครอง ฯ คือ มีข้อตกลง ธรรมนูญแล้ว อนุมัติตั้งคณะกรรมการ บางข้อความกฎหมาย บางข้อที่กระทบในกฎหมายที่มียกเว้นได้ไหม ย้ำไม่ใช่ยกเลิก ซึ่งเป็นหลักทำงานร่วมถ่วงดุลกันและกัน และถ้าเราสามารถผลักดันให้คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ได้ เขาก็จะมีส่วนร่วมสำคัญ พลังสำคัญ ในการยกระดับพัฒนาตนเองที่ชาติพันธุ์จะร่วมเปลี่ยนแปลงพัฒนาบ้านเมืองไปพร้อมกลุ่มพลังต่าง ๆ”

สุริยันต์ ทองหนูเอียด

สุริยันต์ ทองหนูเอียด

สุริยันต์ ยังเชื่อว่า มุมมองของผู้ทรงคุณวุฒิ คือ บทบาทของ สว.น่าจะทำให้เรื่องพื้นที่คุ้มครองฯ มีความชัดเจนครอบคลุมกว่าในชั้น สส. ที่ตัดหัวใจสำคัญ เพราะดูจาก กระบวนการพิจารณา หรือกระบวนการดำเนินการของ สว. จะไม่มีภาวะการแข่งทางการเมือง ดูจากเงื่อนไขการพิจารณากฎหมาย ไม่มีเงื่อนไข รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่เป็นเรื่องของผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้ที่มีองค์ความรู้ทางวิชาการ หรือผู้ที่ทรงภูมิ เป็นวุฒิสภาที่จะพิจารณา บทบาทของวุฒิก็คือบทบาทผู้ใหญ่ ทำให้กฎหมายนี้ถูกแต่งเติมให้สมบูรณ์ ไม่ให้ออกมาพกลพิการเช่นในชั้น สส.

จากนั้นสมาชิกวุฒิสภาได้ลงมติโหวตรับหลักการร่างกฎหมายฯ ดังกล่าว ด้วยมติเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย 160 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง พร้อมเดินหน้าตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว 27 คน ที่มาจากตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงภาคประชาชน โดย กมธ.ชุดนี้ มีกำหนดประชุมนัดแรก วันพุธ ที่ 19 ก.พ.นี้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active