ศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนกฎกระทรวงฯ ‘ทรงผมนักเรียน’

ชี้ละเมิดสิทธิเด็ก ละเลยความหลากหลายของสังคม จำกัดเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ ขณะที่ โรงเรียน ยังออกกฎทรงผมได้ แต่ต้องยึดประโยชน์ผู้เรียนเป็นหลัก

วันนี้ (5 มี.ค. 68) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน โดยระบุว่า กฎดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน และขัดกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546

กฎกระทรวงที่ถูกเพิกถอนมีเนื้อหากำหนดให้นักเรียนชายห้ามไว้ผมยาวเกินตีนผม หรือไว้หนวดเครา ส่วนนักเรียนหญิงห้ามไว้ผมยาวเกินต้นคอ และห้ามใช้เครื่องสำอาง โดยศาลเห็นว่า การบังคับใช้กฎนี้อย่างเคร่งครัดอาจกระทบต่อจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ

เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 1 มกราคม 2518 กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอาง โดยอ้างว่า เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครู ให้อยู่ในคำสั่งสอนและโอวาทของผู้ใหญ่และระเบียบประเพณี

ศาลระบุว่า กฎกระทรวงดังกล่าวไม่คำนึงถึง สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในร่างกายและขัดกับหลักการสิทธิเด็ก จึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ

“เนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาท ซึ่งกำหนดลักษณะทรงผมของนักเรียน โดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยและความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล จึงมีผลเป็นการ จำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งกระทำมิได้ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”

ความตอนหนึ่งจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด

หลังจากการเพิกถอน โรงเรียนหรือสถานศึกษายังสามารถออกระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนได้ แต่ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก และคำนึงถึงการพัฒนาบุคลิกภาพและอัตลักษณ์ที่เหมาะสมตามช่วงอายุ โดยสถานศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นการส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียนทุกคน

ย้อนรอย 5 ปี กลุ่มนักเรียนยื่นฟ้องศาล เพิกถอนกฎระเบียบทรงผม

สำหรับผลของคำพิพากษาที่ปรากฎ สืบเนื่องมาจากกรณีวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 กลุ่มนักเรียน ‘การศึกษาเพื่อความเป็นไท‘ พร้อมทนายความ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนกฎระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน โดยมีนักเรียนจำนวน 23 คน เป็นผู้ฟ้องคดี และกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดี โดยประเด็นสำคัญในการฟ้องร้องมีดังนี้

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับกระทรวงศึกษาธิการควรจำกัดเฉพาะการเรียนการศึกษา การออกกฎระเบียบที่กระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล เช่น ทรงผม ถือเป็นการเกินอำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546

  2. กฎและระเบียบดังกล่าวละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นักเรียนควรมีสิทธิในการกำหนดทรงผม สีสัน และการแสดงออกถึงบุคลิกภาพและเพศสภาพได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จจากภาครัฐ

  3. กฎและระเบียบเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและขัดกับหลักความเสมอภาค นักเรียน LGBTQ+ และผู้มีภาวะเพศกำกวมอาจถูกจำกัดเสรีภาพในการกำหนดอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง

ในขณะนั้น กลุ่มผู้ฟ้องระบุว่า กฎระเบียบเกี่ยวกับการกำหนดทรงผมนักเรียน ได้นำไปสู่การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการลงโทษที่เปรียบเสมือนการลดทอนความเป็นคน โดยเฉพาะการไถผมนักเรียนให้แหว่ง ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกาย มีบางกรณีที่ครูลงโทษนักเรียนด้วยการตัดผมแต่เกิดความผิดพลาด ทำให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังสร้างภาระทางเศรษฐกิจจากการต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตัดผม และกระทบต่อสิทธิในการศึกษา

กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เปิดเผยข้อมูลว่า มีหลายกรณีที่ครูลงโทษนักเรียนด้วยการตัดผมให้แหว่ง จนนักเรียนบางคนต้องโกนผมทิ้งทั้งหมดเพื่อไม่ให้เห็นความแหว่ง บางเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนักเรียนกำลังสอบ อีกกรณีหนึ่ง นักเรียนชายจากครอบครัวยากจนไม่สามารถตัดผมได้เนื่องจากขาดแคลนค่าใช้จ่าย แต่กลับต้องเผชิญกับกฎระเบียบเรื่องทรงผมที่สร้างภาระทางเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น

ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กว่า 20 คน ถูกสั่งให้ออกจากห้องสอบไปตัดผม หลังเริ่มทำข้อสอบไปแล้วประมาณ 10 นาที ส่งผลให้นักเรียนทั้งหมดพลาดการสอบวิชาแรก และบางคนพลาดการสอบถึงวิชาที่สอง นอกจากนี้ยังมีกรณีนักเรียนหญิงถูกครูตัดผมลงโทษอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้กรรไกรเฉี่ยวติ่งหูจนเกิดแผล บวมอักเสบ และมีน้ำเหลืองไหล

ผลกระทบและความเคลื่อนไหวในปัจจุบัน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไป 5 ปี สังคมไทยได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาและสิทธิเด็กมากขึ้น แต่ประเด็นเรื่องการควบคุมทรงผมนักเรียนยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่อง บางโรงเรียนได้ปรับเปลี่ยนระเบียบให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังคงมีกรณีที่นักเรียนถูกละเมิดสิทธิเพราะทรงผมอยู่เช่นเดิม

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active