วันอากาศสะอาดโลก 2025 เครือข่ายอากาศสะอาด ร่วมภาคีเครือข่ายจัดเวทีเสวนา เพื่อสิทธิในการหายใจอากาศสะอาด กมธ.ร่วมนำเสนอโครงสร้างกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายสิ่งแวดล้อมกังวลการบังคับใช้ที่อาจซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม
วันนี้ (7 ก.ย. 2568) ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศูนย์วิจัยทางกฎหมายและการบริการวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดงาน “Breathe Hope: มาหายใจให้เต็มปอด” เนื่องในวันอากาศสะอาดโลก โดยมีเวทีสัมมนาหลากมิติ ทั้งสิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อม, สิทธิในอากาศสะอาด, กฎหมายอากาศสะอาด, จิตวิญญาณจิตสำนึกจิตอาสาเพื่ออากาศสะอาด และการสื่อสารเพื่ออากาศสะอาด

ผศ.ธนาชัย สุนทรอนันตชัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด กล่าวถึง กิจกรรมครั้งนี้ได้จัดเวทีเสวนา หัวข้อ “กฎหมายอากาศสะอาด” โดยมีคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาร่วมวิเคราะห์โอกาสและความเป็นไปได้ รวมทั้งข้อแนะนำเพื่อให้กฎหมายมีความสมบูรณ์ สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด เข้าสภาฯ ไปเมื่อ ม.ค. 2567 ที่มีการแต่งตั้ง กมธ.พิจารณา ใช้เวลาไป 1 ปี 7 เดือน รวมจาก 7 ร่างที่เข้าสภาฯ กำลังจะเข้าสู่วาระการพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร พูดคุยเรื่องหลักการสำคัญ เช่น สิทธิ กลไกของรัฐ เครื่องมือเขตเฝ้าระวัง การป้องกันจากแหล่งกำเนิด มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ กองทุนอากาศสะอาด โดยจะมีการเล่าถึงโครงสร้างของกฎหมายโดย กมธ.และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่จะมาให้ข้อแนะนำ
สรุปภาพ “กม.อากาศสะอาด” ก่อนเข้าสภาฯ
ดนัยภัทร โภควณิช จากสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ในฐานะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ได้นำเสนอสาระสำคัญของกฎหมาย โดยชี้ว่า หมวด 1 ของร่างฯ ถือเป็น “หัวใจ” ในการสถาปนาสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบกฎหมายไทย โดยบัญญัติให้ ประชาชนทั้งในระดับปัจเจก ชุมชน และสังคม มีสิทธิในอากาศสะอาด รวมทั้งคุ้มครองสิทธิของ กลุ่มเปราะบาง โดยสิทธิสำคัญประกอบด้วย
-สิทธิที่จะฟ้องร้องหากสิทธินี้ถูกละเมิด
-สิทธิที่จะรู้และเข้าถึงข้อมูล
-สิทธิที่จะร่วมตัดสินใจ

ดนัยภัทร ย้ำว่า แม้กฎหมายจะสถาปนาสิทธิในอากาศสะอาด แต่ก็ระบุด้วยว่า ประชาชนมีหน้าที่ไม่ก่อมลพิษ ขณะเดียวกัน รัฐมีพันธกิจทำให้สิทธิอากาศสะอาดเกิดขึ้นจริง
ใน หมวด 2 ว่าด้วยกลไกการขับเคลื่อน กฎหมายกำหนดโครงสร้างคณะกรรมการไว้ 3 ระดับ ได้แก่
1.คณะกรรมการเครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ – กำกับการใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เพื่อควบคุมมลพิษ
2.คณะกรรมการนโยบายเพื่ออากาศสะอาด – มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติ
3.คณะกรรมการวิชาการเพื่ออากาศสะอาด – เสนอองค์ความรู้และมาตรฐานคุณภาพอากาศ
ดนัยภัทร อธิบายว่า มี “คณะกรรมการกำกับดูแลเพื่ออากาศสะอาด” เชื่อมโยงการทำงานทุกระดับให้เป็นไปตามกรอบนโยบาย ส่วนในระดับพื้นที่ จะมีการตั้ง คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด และ คณะกรรมการอากาศสะอาดกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าฯ กทม.เป็นผู้กำกับดูแล สะท้อนหลักการ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ร่างกฎหมายยังเสนอให้จัดตั้งองค์กรใหม่คือ สำนักงานบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด (บอส.) ทำหน้าที่บริหารจัดการเชิงบูรณาการ โดยระหว่างรอการจัดตั้ง (ภายใน 2 ปี) ให้กรมควบคุมมลพิษทำหน้าที่แทนก่อน นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติให้มี เจ้าพนักงานอากาศสะอาด และ ผู้ช่วยเจ้าพนักงานอากาศสะอาด ซึ่งจะมาจากภาคประชาชน เพื่อร่วมทำงานในเชิงปฏิบัติ

อชิชญา อ๊อตวงษ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ กล่าวอธิบายสาระใน หมวดที่ 3 ของร่างกฎหมาย ซึ่งว่าด้วยเครื่องมือและกลไกในการบริหารจัดการ โดยชี้ว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้หยุดแค่การรับรองสิทธิ แต่ยังวางระบบฐานข้อมูล การจัดการมลพิษจากแหล่งกำเนิด และการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
อชิชญา อธิบายว่า ร่างกฎหมายใช้คำว่า “พื้นที่ที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณภาพอากาศ” และ “พื้นที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพอากาศ” หรือ “พื้นที่สีเขียว” เพื่อจำแนกเขตการจัดการ โดยกำหนดมาตรการแตกต่างกันไป ทำให้การวางนโยบายและการปฏิบัติในพื้นที่มีความเหมาะสมมากขึ้น
อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือ แผนปฏิบัติการระดับจังหวัด ที่เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นจัดทำแผนของตนเอง โดยต้องมี “คำมั่นสัญญา” เพื่อลดปัญหามลพิษ กำหนดกรอบระยะเวลา และให้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ เมื่อมีแผนแล้ว จังหวัดก็จะสามารถใช้อำนาจนี้เพื่อควบคุมและแก้ปัญหาได้ตรงจุด
ในด้านมาตรฐานคุณภาพอากาศ กฎหมายกำหนดไว้ 2 มาตรฐานหลัก คือ
1.มาตรฐานคุณภาพอากาศเพื่อสวัสดิภาพสาธารณะ – ครอบคลุมผลกระทบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ซึ่งจะมาจากข้อเสนอของท้องถิ่น
2.มาตรฐานคุณภาพอากาศเพื่อสุขภาพ – เน้นผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน
อชิชญา เผยว่า นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาดัชนี AQI (Air Quality Index) ควบคู่กับ AQHI (Air Quality Health Index) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารความเสี่ยงแก่ประชาชน พร้อมระบบเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำ ถึงความสำคัญของ ระบบร้องเรียนที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยประชาชนสามารถติดตามได้ว่าการแก้ปัญหาที่แจ้งไปคืบหน้าอย่างไร ถือเป็นกลไกที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการบังคับใช้กฎหมาย อีกประเด็นสำคัญคือ การประกาศเขตเฝ้าระวัง หรือเขตประสบมลพิษทางอากาศ ซึ่งแตกต่างจากการแบ่งพื้นที่ตามเกณฑ์คุณภาพอากาศ เนื่องจากเป็นมาตรการจัดการในระยะกลางและระยะยาว เปิดช่องให้ท้องถิ่นมีอำนาจมากขึ้นในการแก้ปัญหา แต่หากสถานการณ์ดีขึ้น ก็สามารถยกเลิกเขตดังกล่าวได้
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายเผยข้อกังวลเรื่อง “ความซ้ำซ้อน”
ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ที่ปรึกษากรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ตั้งข้อสังเกตถึง มาตรา 9 วรรคสอง เกี่ยวกับองค์กรเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมว่า จะต้องเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องมีเครือข่ายเชื่อมโยงกันหรือไม่ ขณะที่ มาตรา 10 ว่าด้วยจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ 15 คน อาจมากเกินไป แม้เจตนารมณ์ต้องการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ก็กังวลเรื่องขนาดที่ใหญ่เกินความจำเป็น จนอาจซ้ำซ้อน และควรพิจารณาว่าสามารถจัดเป็น “อนุกรรมการ” แทนได้หรือไม่
นอกจากนี้ ภาคภูมิ ยังเสนอว่า ประเด็น การฟ้องปิดปาก (SLAPP) ควรถูกจัดไว้ในตอนต้นของกฎหมาย ภายใต้หมวดสิทธิ เพื่อให้เห็นภาพรวมสิทธิที่ชัดเจนและครบถ้วนตั้งแต่แรก

รศ.สุรศักดิ์ บุญเรือง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นด้วยว่าไทยควรมีกฎหมายเฉพาะเรื่องอากาศสะอาด เพราะที่ผ่านมา “ต่างคนต่างทำ” แต่ก็สะท้อนความกังวลว่า มาตรการที่บัญญัติไว้ในกฎหมายจะบังคับใช้ได้จริงหรือไม่ เนื่องจากระบบราชการมักมองงานที่ถูกกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ภารกิจเสริม” ไม่ใช่งานหลัก อีกทั้งประเทศไทยมีหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงาน กรมป่าไม้ และมีเครื่องมืออย่าง “เขตควบคุมมลพิษ” อยู่แล้ว จึงเกิดคำถามว่า หากมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดเพิ่มเข้ามา จะทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสับสนว่าต้องดำเนินการตามกฎหมายฉบับใด
รศ.สุรศักดิ์ ยังชี้ถึงปัญหากลไกการทำงานที่อาจเกิดขึ้น หากคณะกรรมการเต็มไปด้วยข้าราชการโดยตำแหน่ง ซึ่งไม่ใช่ “กรรมการเต็มเวลา” จะสามารถขับเคลื่อนได้จริงหรือไม่ อีกทั้งเรื่อง การตั้งงบประมาณ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความซ้อนทับระหว่างกรอบงบฯของคณะกรรมการนโยบาย กับแนวทางของแต่ละกระทรวง

สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) มองว่า การบัญญัติเรื่องสิทธิเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็มีข้อท้าทายเพราะรัฐธรรมนูญไทยมักถูกแก้ไขบ่อย จนอาจกระทบต่อการอ้างสิทธิเหล่านี้ โดยเฉพาะสิทธิที่จะมีอากาศสะอาด สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล และสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม พร้อมตั้งคำถามว่า สิทธินี้ครอบคลุมไปถึงคนงานในโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษด้วยหรือไม่
สุรชัย กังวลว่า การเปิดทางให้ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคประชาสังคมที่ “คัดเลือกกันเอง” แต่สุดท้ายให้ผู้มีอำนาจเป็นคนแต่งตั้ง อาจนำไปสู่ความไม่โปร่งใส เช่น องค์กรไม่แสวงกำไรที่มีการสนับสนุนจากเอกชนอาจส่งตัวแทนเข้ามาได้ จึงเสนอให้มีกฎหมายลำดับรองมากำกับ และยังเสนอว่า ในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศทั้ง 2 แบบ ควรระบุสิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ชัดเจนไปพร้อมกัน
สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ถือเป็นกฎหมายใหม่ แต่ก็มีคำถามสำคัญว่าจะเชื่อมโยงกับกฎหมายและกลไกที่มีอยู่แล้วได้อย่างไร ทั้งในมิติของ “คน งาน และงบประมาณ” พร้อมย้ำหลักนิติธรรมสิ่งแวดล้อมว่า “โจรที่ลอยนวลอยู่ต้องถูกปราบ”
“ควรมีคณะอนุกรรมการที่ทำงานเชิงลึก และอาจจัดตั้ง คณะกรรมการด้านยุติธรรม เพิ่มเติม เพื่อให้มองปัญหาทั้งระบบ โดยควรรวมตัวละครสำคัญอย่าง “อัยการ” ซึ่งเปรียบเสมือนทนายของรัฐเข้ามามีบทบาท”
สุนทรียา เหมือนพะวงศ์
สำหรับกองทุนเพื่ออากาศสะอาด สุนทรียา มองว่าเป็นหลักการที่สำคัญ แต่ยังต้องตอบคำถามว่าจะชดเชยเยียวยาความเสียหายอย่างไรให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกรณีค่าเสียหายเบื้องต้นและค่าเสียหายเชิงลงโทษ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีระบบที่เป็นเอกภาพ
ดนัยภัทร กล่าวถึงประเด็น “แรงงาน” ว่า อยู่ในขอบเขตคดีแพ่ง เนื่องจากมี พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่ครอบคลุมอยู่แล้ว ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด จึงถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง “นวัตกรรมทางกฎหมาย” แก้ไขเพนพอยต์เดิม และหาทางออกร่วมกันระหว่างระบบเก่ากับกลไกใหม่ โดยมีการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญ และเตรียมออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน โดยสัดส่วนต้องใกล้เคียงกัน จึงออกมาเป็นคณะทำงาน 15 คน
อชิชญา กล่าวเสริมว่า ในร่างกฎหมายของ ครม.เคยมีบทบัญญัติที่อาจเข้าข่าย การฟ้องปิดปาก (SLAPP) ต่อผู้เปิดโปงการปล่อยมลพิษ แต่ภายหลังได้ปรับแก้ให้เป็นการคุ้มครองใน หมวด 3 ขณะเดียวกัน ยังมีการเชื่อมโยงกับกฎหมายเดิม เช่น เขตควบคุมมลพิษตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเพียงการประกาศแต่ไม่มีกลไกยกเลิก ร่างโดย ครม.จึงวางหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้ รวมถึงเพิ่มมาตรการ เขตเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันตั้งแต่ต้น ไม่รอให้เกิดปัญหารุนแรง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น
กัญญารัตน์ โคตรภูเขียว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางกฎหมายและการบริการวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด อธิบายว่า ใน หมวด 4 กำหนด แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ 6 กลุ่ม (sectors) พร้อมระบุอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนร่วมกัน หากทุกภาคส่วนปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะนำไปสู่อากาศสะอาดได้จริง
ณัฐพัชร ทวีวรรณบูลย์ จากสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาด และที่ปรึกษา กมธ. กล่าวถึง หมวด 6 และหมวด 7 ว่าหัวใจสำคัญคือ มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ภายใต้หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” โดยเปิดช่องให้เลือกใช้เครื่องมือ 6 ประเภท เช่น
- ภาษีอากาศสะอาด
- ค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด
- การจัดสรร/ซื้อขาย/โอนสิทธิ
- หลักประกันความเสี่ยง
- ระบบฝากไว้ได้คืน
- มาตรการอุดหนุนและส่งเสริม
ทั้งนี้ สิ่งที่เน้นมากที่สุดคือ “ค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด” ซึ่งเก็บจากผู้นำเข้าและผู้ผลิตอุตสาหกรรมตามปริมาณหรือมูลค่าสินค้า พร้อมมีการทบทวนทุกปี และเงินที่ได้จะถูกจัดสรรเข้าสู่ กองทุนอากาศสะอาด ที่แยกออกจากกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหามลพิษทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเปิดให้ภาครัฐ เอกชน และประชาชน เข้าถึงได้
ขณะที่ ภาคภูมิ แสดงข้อกังวลต่อ หมวด 4 ว่า การระบุรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจสร้างความซับซ้อนทางกฎหมาย หากบางหน่วยงานไม่ถูกระบุ อาจนำไปสู่การปัดความรับผิดชอบได้ แต่หากระบุไว้ครบ ก็อาจถูกใช้เป็นข้อโต้แย้งกลับมา ปัญหานี้จึงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีความซ้อนทับกับ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สุรชัย กล่าวว่า มาตรา 73 การเรียกค่าเสียหาย คล้ายมาตรา 97 พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ที่กำหนดการรับผิด ปัญหาของมาตรานี้ (4) การระบายสารมลพิษ หากมีการชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ไม่ต้องรับผิด การยกเว้นแบบนี้ ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดมากเกินไปหรือไม่
รศ.สุรศักดิ์ เสนอว่า ปรับคำในกฎหมายให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น คือ “ระบบฝากไว้ได้คืน” เสนอปรับเป็นการเรียกเก็บเงินสินค้าหรือประกัน
หวัง “กองทุนอากาศสะอาด” ไม่ถูกตัดออก
โดยล่าสุดมีการเผยแพร่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 10 ก.ย. 2568 มีการบรรจุวาระนำร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และ 3

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ นายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และ รองประธาน กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงระยะเวลาที่เหลือไม่มากก่อนจะยุบสภาฯ ควรเร่งผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ผ่าน พร้อมย้ำว่า หลักการที่มาจากร่างกฎหมายฉบับประชาชน ที่อยู่ในร่างกฎหมายที่จะเข้าสภาฯ ขณะนี้ มีเรื่องที่ไม่ควรถูกตัดออก มี 3 ประเด็น คือ 1. สิทธิในอากาศสะอาด 2. การมีคณะกรรมการ ที่จะตอบสนองการทำงานในภารกิจใหม่ 3. กองทุนอากาศสะอาด ที่ต้องใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ที่ต้องมีมาตรการแรงจูงใจ และบทลงโทษ ที่เรียกว่า carrot and stick
“มาตรการทางเศรษฐศาตร์ ต้องมาทั้งสองขาคือ ทั้งกลไกต่าง ๆในการหาเงินเข้ากองทุน และกองทุนอากาศสะอาด ในชั้นกรรมาธิการมีการเคลียร์หลายรอบมาก ว่าเราเข้าใจตรงกันหมดแล้ว ซึ่งสาระสำคัญเหล่านี้อยู่ครบถ้วนดี แต่พอก่อนจะเสร็จประชุมครั้งสุดท้ายก็มีกฤษฎีกาท่านหนึ่ง ที่มาจากสัดส่วน ครม. ตั้งขอสงวนเฉพาะ หมวดกองทุนอากาศสะอาด น่าจะเป็นความกังวลมากกว่าที่จะไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง เพราะท่านที่ตั้งข้อสงวนเองก็เห็นด้วยกับเรามาตลอด ก็คงคิดว่าเป็นความกังวลในเชิงเทคนิค อย่างเรื่องกระทรวงการคลัง ท่านคงเหมืออนจะตั้งข้อสงวนไว้ก่อน”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม