วงเสวนาชำแหละการจัดการ “คนหนีภัยความตาย” ในไทย ถกสิทธิอาศัย-ทำงาน-ศึกษา-สัญชาติ

รองปลัด มท.เปิดเวทีถอดบทเรียน เผยไทยรับมือผู้อพยพตั้งแต่ยุคเขมรแดงจนถึงวิกฤตเมียนมา ย้ำความท้าทายทั้งด้านกฎหมาย มนุษยธรรม และความมั่นคง ชี้โจทย์ใหญ่ “ผู้หนีภัย–ผู้อพยพ” ชายแดนไทย 40 ปีไม่จบ ย้ำต้องมียุทธศาสตร์เฉพาะพื้นที่ เสนอแนวคิด “ปิดศูนย์พักพิง”

สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี 26 สิงหาคม 2568 ที่อนุญาตให้ “ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.)” ทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพสามารถทำงานอย่างถูกกฎหมาย มีรายได้ และเข้าระบบประกันสุขภาพของภาครัฐ ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของไทย แต่ยังพบอุปสรรคปัญหาความชัดเจนในเรื่องของสถานะทางทะเบียนหลายประการที่อาจกระทบต่อสิทธิและข้อกฎหมายต่างๆ 

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ที่กระทรวงมหาดไทย มีการจัดวงเสวนาเพื่อถอดบทเรียนเรื่อง คนหนีภัยความตายที่เข้ามาในประเทศไทยในบริบทมหาดไทยของรัฐไทย โดยมีนักวิชาการ ภาคประชาสังคม ผู้บริหาร และข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อการจัดการของรัฐไทยต่อผู้หนีภัยจากประเทศเพื่อนบ้าน

รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร นักวิชาการอิสระ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามถึง “หลักการและปรัชญา” ที่กระทรวงมหาดไทยใช้ดูแลผู้หนีภัย ทั้งในค่ายและนอกค่าย ว่ามีการยึดโยงกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลเพียงใด

รศ.พันธุ์ทิพย์ อธิบายว่า ผู้หนีภัยในไทยสามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่

1.นอกค่ายผู้ลี้ภัย ประกอบด้วย

  1. ผู้ได้รับรองสถานะชนกลุ่มน้อยของประเทศไทย มีเลขประชาชนขึ้นต้นด้วย 6
  2. ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน (ท.ร.38 ก/ข) มีเลขประชาชนขึ้นต้นด้วย 0
  3. ผู้บันทึกในทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา (ท.ร.38/1) มีเลขประชาชนขึ้นต้นด้วย 00 แต่บางส่วนไม่กล้าพิสูจน์สัญชาติ

2. ในค่ายผู้ลี้ภัย ประกอบด้วย

  1. ผู้ถือบัตร UNHCR ID และได้รับการรับรองสถานะ “ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา” โดยกระทรวงมหาดไทย (MOI) ถือเลขประชาชนขึ้นต้นด้วย 000
  2. ผู้ถือบัตร UNHCR ID แต่ไม่ได้รับการรับรองสถานะจาก MOI จึงไม่มีเลข 000
  3. ผู้ถือบัตร UNHCR ID ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก MOI แต่มีสถานะ “บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน (ท.ร.38 ก/ข)” เลขขึ้นต้นด้วย 0
  4. ผู้ไม่ถือ UNHCR ID และไม่ได้รับการรับรองใด ๆ ทำให้ไม่มีเลขประจำตัว 13 หลัก

รศ.พันธุ์ทิพย์ ตั้งคำถามว่า การตีความสิทธิอาศัยชั่วคราวตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และมติ ครม.วันที่ 26 สิงหาคม 2568 รวมถึงประกาศกระทรวงมหาดไทย 8 กันยายน 2568 ครอบคลุมเฉพาะผู้มีเลข 000 เท่านั้นหรือไม่ และคนที่มี UNHCR ID แต่ไม่มีเลข 000 ยังตกอยู่ใน “ช่องว่างทางกฎหมาย” ต่อไปใช่หรือไม่

ประเด็นหนึ่งที่หยิบยกขึ้น คือ ความเป็นไปได้ทางกฎหมายในการจ้างงานบุคลากรสาธารณสุขภายในโรงพยาบาลค่ายผู้หนีภัย หากมีเลข MOI 13 หลัก (000) ตามประกาศกระทรวงแรงงาน 8 กันยายน 2568 ขณะที่กรณีผู้ไม่มีเลขดังกล่าวยังเป็นปัญหาที่ไร้คำตอบชัดเจน 

กรณีผู้ป่วยฉุกเฉินในค่ายผู้ลี้ภัย มีการยืนยันว่า สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการอนุญาตออกนอกค่าย ตามข้อ 2 วรรค 2 ของประกาศกระทรวงมหาดไทย 8 กันยายน 2568 ซึ่งออกตามมติ ครม.

ด้านสิทธิการศึกษา สำหรับผู้มีเลข MOI 000 สามารถใช้สิทธิตามประกาศดังกล่าวเพื่อขออนุญาตออกนอกค่ายเพื่อศึกษาได้ตลอดหลักสูตรการศึกษา แต่ในกรณีผู้ไม่มีเลข 000 ยังคงอยู่ใน “สุญญากาศทางกฎหมาย” ไม่มีหลักประกันสิทธิชัดเจน

อีกประเด็นสำคัญคือ เด็กที่เกิดในไทยจากคนในค่ายผู้หนีภัย หากได้รับการรับรองการเกิดและบันทึกในทะเบียนราษฎร ย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยแบบมีเงื่อนไข ตามมาตรา 7 ทวิ วรรค 2 พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2551) และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องในปี 2559 และ 2567

รศ.พันธุ์ทิพย์ พยายามจุดประเด็นคำถามต่อ “กรอบคิดและการปฏิบัติ” ของรัฐไทยต่อคนหนีภัยความตาย โดยเฉพาะในมิติสิทธิอาศัย การเคลื่อนย้าย การทำงาน การศึกษา การรักษาพยาบาล และสิทธิในสัญชาติไทย ซึ่งยังมีหลายประเด็นที่อยู่ในภาวะคลุมเครือและต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากภาครัฐ

โจทย์ใหญ่ “ผู้หนีภัย–ผู้อพยพ” ชายแดนไทย 40 ปีไม่จบ ย้ำต้องมียุทธศาสตร์เฉพาะพื้นที่

ด้านชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านกิจการความมั่นคงภายใน ได้ฉายภาพรวมปัญหาผู้หนีภัยในประเทศไทย ซึ่งยืดเยื้อมากว่า 40 ปี ตั้งแต่กรณีเขมรแดง–เวียดนามในช่วงทศวรรษ 2517–2518 มาจนถึงสถานการณ์เมียนมาปัจจุบัน

ชำนาญวิทย์ กล่าวว่า คำว่า หนีตาย และ หนีภัย มีความหมายต่างกัน การใช้ถ้อยคำไม่เพียงแต่สะท้อนสถานการณ์ แต่ยังส่งผลต่อการสื่อสารกับสังคมและการตีความทางกฎหมาย โดยหากใช้คำว่า “ผู้ลี้ภัย” จะหมายถึงบุคคลที่ถูกบังคับให้หนีออกจากประเทศเพราะถูกคุกคามทางการเมือง ศาสนา หรือเชื้อชาติ ส่วนคำว่า “ผู้อพยพ” มีความหมายกว้างกว่า ครอบคลุมเหตุผลทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ หรือการแสวงหางาน

เขาย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเทศไทยเผชิญผู้หนีภัยจากประเทศเพื่อนบ้านมาตั้งแต่ช่วงสงครามเขมร–เวียดนาม ที่มีผู้คนทะลักเข้ามาตามแนวชายแดนเป็นแสนคน รัฐไทยในเวลานั้นต้องสร้างค่ายผู้หนีภัยโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติและนานาชาติ

“สำหรับสถานการณ์เมียนมา ปัจจุบันยังมีผู้อพยพในค่ายพักพิงชั่วคราวประมาณ 77,000 คน กระจายอยู่ตามชายแดนไทย ทั้งตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี แม้จะมีการส่งไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม แต่จำนวนยังไม่ลดลงเพราะอัตราการเกิดในค่ายสูงกว่าการส่งต่อ” ชำนาญวิทย์กล่าว

เขายังชี้ว่า ความท้าทายปัจจุบันคือ นโยบายระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ลดบทบาทการสนับสนุน ทำให้ไทยต้องรับภาระมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีข้อจำกัดด้านกฎหมาย เนื่องจากผู้หนีภัยยังไม่มีสถานะทางกฎหมายชัดเจนในไทย การอนุญาตให้ออกนอกค่ายหรือทำงานจึงต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ

นอกจากนี้ แรงกดดันทางเศรษฐกิจยังเพิ่มขึ้นในช่วงที่แรงงานข้ามชาติขาดแคลน รัฐบาลไทยจึงถูกตั้งคำถามว่าจะเปิดทางให้แรงงานในค่ายผู้หนีภัยเข้ามาทดแทนได้หรือไม่ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องพิจารณาควบคู่กับความมั่นคงและการยอมรับจากสังคมไทย

รองปลัดมหาดไทยย้ำว่า การจัดการผู้หนีภัยชายแดนต้องไม่มองเพียงกฎหมายคนเข้าเมือง แต่ต้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง โดยแต่ละพรมแดนมีบริบทต่างกัน เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย จึงจำเป็นต้องออกแบบยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่ ไม่ใช่ใช้กติกาเดียวครอบทั้งหมด

“ไทยต้องมีข้อมูลชัดเจน ทั้งจำนวนเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน เพื่อกำหนดนโยบายที่แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการส่งกลับประเทศ การส่งไปประเทศที่สาม หรือการให้อยู่ชั่วคราวและทำงานในไทย” ชำนาญวิทย์กล่าว

มท.ชี้แจงการสำรวจผู้อพยพ-เลข 000 เป็นมาตรการควบคุม ไม่ใช่ทะเบียนราษฎร

ด้าน ทรงกลด ขาวแจ้ง ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานนโยบายผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง กองการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงถึงกรณีการสำรวจประชากรในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ว่าเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยดำเนินการร่วมกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เพื่อหาทางออกอย่างยั่งยืนต่อปัญหาผู้หนีภัยความขัดแย้ง

ทรงกลด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นมาจากบริบทการเปลี่ยนแปลงระดับนานาชาติ โดยเฉพาะคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการระงับการรับผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่ 3 รวมถึงการลดงบฯช่วยเหลือต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยต้องหามาตรการที่ยั่งยืนในการดูแลผู้อพยพ เพื่อไม่ให้ภาระตกอยู่กับรัฐบาลฝ่ายเดียว

ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบมาตรการให้สิทธิทำงานแก่ผู้อพยพ เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ พร้อมออกประกาศกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดสิทธิในลักษณะนี้

สำหรับการสำรวจประชากรที่ดำเนินการในปี 2566 หรือที่เรียกว่า Verification Form ทรงกลด ย้ำว่า เป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยกับข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และกรมการปกครองสนับสนุนการปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรตามกฎหมายไทย

ในส่วนของเลข “000” ที่ใช้ควบคุม มีผู้อยู่ในระบบจำนวนประมาณ 77,000 คน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจัดทำขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เพื่อเป็นรหัสควบคุมการสำรวจประชากรในพื้นที่พักพิงชั่วคราว โดยผู้ที่ถือรหัสดังกล่าวจะได้รับสิทธิให้อยู่ชั่วคราวและสามารถทำงานนอกศูนย์พักพิงได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีประชากรอีกประมาณ 4,000 คน ที่ไม่ปรากฏเลข “000” เนื่องจากเป็นคู่สมรสหรือบุตรของผู้มีสถานะในค่าย ซึ่งหลักการ “เอกภาพของครอบครัว” (Family Unity) บุคคลเหล่านี้จึงถูกรวมอยู่ในบัญชีรายชื่อเพื่อการไปตั้งถิ่นฐานต่างประเทศด้วย รวมแล้วเป็น 81,000 คน

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าการใช้รหัส “000” เป็นมาตรการบริหารจัดการของไทยเอง ไม่ใช่ความตกลงผูกพันระหว่างประเทศ แต่เป็นกลไกที่ช่วยควบคุมและติดตามประชากรในพื้นที่พักพิงชั่วคราว เพื่อให้การดูแลและการจัดหาทางออกเป็นไปอย่างมีระบบ

เสนอแนวคิด “ปิดศูนย์พักพิง” หลังดำเนินการกว่า 40 ปี

ขณะที่ ชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านกิจการความมั่นคงภายใน ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ The Active หลังการเสวนาฯ โดยระบุว่า เวทีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อทบทวนความเป็นมาของปัญหาผู้หนีภัย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน และหาแนวทางที่ยั่งยืนในการบริหารจัดการ

ชำนาญวิทย์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ เพราะทุกคนบนโลกควรมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการหายใจ เดินทาง หรือทำมาหากิน โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือสถานะทางรัฐ หลักการสำคัญคือ “ปัจจัย 4” ที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้

เขากล่าวว่า ศูนย์พักพิงผู้หนีภัยเมียนมาถือกำเนิดจากเหตุการณ์สู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องอพยพข้ามแดนเข้ามาไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวตั้งแต่ปี 2527 และขึ้นทะเบียนควบคุม มีสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย การศึกษา และการรักษาพยาบาล โดยมีการสนับสนุนจากงบประมาณสหประชาชาติ แต่เวลาผ่านมากว่า 41 ปีศูนย์พักพิงที่ตั้งขึ้น “ชั่วคราว” กลับกลายเป็นที่อยู่อาศัยถาวรของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า

“ถ้าเด็กที่เข้ามาตอนอายุ 1 ขวบ วันนี้ก็อายุ 41 ปีแล้ว และยังอยู่ในค่าย ถามว่าแบบนี้ยังเรียกว่าศูนย์พักพิงชั่วคราวได้หรือไม่” ชำนาญวิทย์ กล่าว พร้อมเสนอว่า รัฐบาลควรพิจารณาแนวทางระบายผู้ที่อยู่ในศูนย์ออกไป และในที่สุดควร “ปิดศูนย์พักพิง” เพื่อไม่ให้ปัญหายืดเยื้อ

เขาระบุว่า ที่ผ่านมาไทยใช้แนวทาง 3 ด้าน คือ

  1. ส่งกลับประเทศต้นทาง หากมีความปลอดภัย
  2. ส่งไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่ 3 ผ่านการเจรจากับ UN
  3. ดูแลให้อยู่ในประเทศไทยชั่วคราว โดยคุมด้วยทะเบียนพิเศษ

ปัจจุบันมีผู้หนีภัยในระบบประมาณ 77,000 คน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ และ UN ที่ลดการสนับสนุนงบประมาณ ทำให้ไทยต้องทบทวนมาตรการใหม่ โดย ครม.มีมติ “ปลดล็อก” ให้ผู้หนีภัยสามารถออกมาทำงานนอกศูนย์พักพิงได้ เริ่มมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2568

อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคสำคัญ คือ กลุ่มที่ไม่มีเลขทะเบียน “000” ซึ่งไม่สามารถขออนุญาตทำงานได้ จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สถานะอย่างถูกต้อง

ในประเด็นด้านสาธารณสุข ชำนาญวิทย์ กล่าวว่า หากแรงงานเหล่านี้เข้าสู่ระบบการทำงานตามกฎหมาย ก็จะต้องทำประกันสุขภาพ แต่ปัญหาคือ ค่าธรรมเนียม เช่น ค่าเบี้ยประกันปีละ 1,600 บาท เป็นภาระที่ผู้หนีภัยในศูนย์ไม่สามารถแบกรับได้ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ ทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนว่ารัฐควรจัดการอย่างไร

สุดท้าย เขาย้ำว่า แม้ไทยจะยึดหลักสิทธิมนุษยชน แต่การช่วยเหลือก็ต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันการแอบอ้างสิทธิ์โดยผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสถานะผู้หนีภัยจริง พร้อมระบุว่า การเสวนาครั้งนี้คือก้าวแรกสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาว โดยมีเป้าหมายให้ผู้หนีภัยมีอนาคตที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็สามารถบริหารจัดการปัญหาที่คาราคาซังมากว่า 4 ทศวรรษได้อย่างยั่งยืน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active