ชาวบ้านที่ประสบปัญหาข้อพิพาทที่ดิน หวังเร่งรัดร่างกม. เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดิน ล้างมลทิน คืนสิทธิ-ความเป็นธรรมให้ชุมชนดั้งเดิม ด้านกมธ.ฯ ย้ำ ยึดหลักเพื่อสิทธิชุมชน ไม่เอื้อกลุ่มทุนรุกป่า รับฟังความเห็นทุกฝ่าย เพื่อให้ร่างกม.สมบูรณ์ พร้อมนำไปปฏิบัติได้จริง
เมื่อวันที่ (15 พ.ย. 68) ที่ศาลาประชาคมบ้านไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา พันตำรวจเอก ทวีสอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พร้อม เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ พร้อมคณะ ลงพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนที่ประสบปัญหาข้อพิพาทที่ดินอุทยานแห่งชาติทับลาน
โดยตัวแทนชาวบ้านได้ยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง และคณะกรรมาธิการฯ 4 ฉบับ มีเนื้อหาที่สอดคล้องกันคือ ขอให้เร่งรัด ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ และ สนับสนุนให้ดำเนินการตอบโจทย์ครอบคลุมประชาชนในทุกกลุ่ม ที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากนโยบายรัฐ
“เราคาดหวังให้ทางกรรมาธิการฯ เร่งรัด ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้านวังน้ำเขียว ที่เป็นชาวบ้านดั้งเดิม อยู่ในที่ดินบรรพบุรุษก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้านที่ประสบปัญหาเดือดร้อนมานานกว่า 14 ปี ล้างมลทินให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ขณะเดียวกันขอให้กรรมาธิการฯ ช่วยเร่งรัดการกันแนวเขตตามมติคณะรัฐมนตรี 14 มีนาคม 2566 ที่เคยสำรวจแนวเขตไว้ปี 2543 เพื่อกันชุมชนใน จ.นครราชสีมา จ.ปราจีนบุรี และสระแก้ว ออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานที่มาประกาศทับชุมชน” วีระ รัตนะอักษรกุล เลขากลุ่มทับลาน 43 กล่าว





ตั้งเป้าเสนอกฎหมายเข้าสภาฯ 12 ธันวาคมนี้ ย้ำ หลักการ “อยู่ก่อนมีสิทธิ” หยุดการดำเนินคดีประชาชน
ภายหลังการประชุม พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ประชุมกันอย่างต่อเนื่อง และมีแผนที่จะนัดประชุมรับฟังความเห็นเพิ่มเติม เพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สามารถอำนวยความยุติธรรมได้สูงสุด และเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม
“คณะกรรมาธิการฯ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และวาระ3 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญประจำปีครั้งที่ 2)” พ.ต.อ. ทวีกล่าว
พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง กล่าวถึงเหตุผลในการลงพื้นที่ อ.วังน้ำเขียว เพื่อต้องการดูพื้นที่จริงเพื่อให้กฎหมายที่จะออกมาสามารถให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายได้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะครอบคลุมประชาชน 2 กลุ่มใหญ่
- กลุ่มผู้ได้รับการผ่อนผันตามเงื่อนไขของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541
- ผู้ที่มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในบริเวณพื้นที่สงวนหวงห้ามนั้นเพื่อตนเองก่อนมีคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 โดยไม่มีลักษณะที่เข้าข่ายเป็นนายทุน
พ.ต.อ. ทวี ชี้ว่า ปัญหาในพื้นที่ อ.วังน้ำเขียว มีประชาชนถึง 353 คน ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดี ทั้งที่อยู่ในระหว่างรอการพิสูจน์สิทธิ์ตามมติ ครม. ที่ผ่านมา ข้าราชการไม่ได้ดำเนินการพิสูจน์สิทธิตามเวลาที่ควรจะเป็น ทำให้ประชาชนต้องรอความยุติธรรมมานานกว่า 20 ปี
“หลักการพื้นฐานที่สำคัญคือ ประชาชนที่อยู่ก่อนการประกาศเขตห้าม ควรได้รับการพิสูจน์สิทธิ์โดยรวดเร็ว ไม่ใช่ปล่อยให้รอความยุติธรรมที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด” พ.ต.อ. ทวี กล่าว
ยัน ร่างกฎหมายนี้เพื่อสิทธิชุมชน ไม่ใช่การส่งเสริมเอื้อนายทุน
พ.ต.อ. ทวี ยืนยันในเจตนารมณ์ของกฎหมายว่า ไม่ได้มาเพื่อส่งเสริมให้นายทุนบุกรุกป่า แต่มาเพื่อ คุ้มครองสิทธิชุมชน ของผู้ที่อยู่มาก่อนอย่างชอบธรรม โดยเฉพาะกรณีที่ป่าเกิดขึ้นจากฝีมือชาวบ้านปลูกเอง หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ จะเป็นทางที่อำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนที่ถูกตัดสินจำคุกให้ได้สิทธิคืน
“เราเอาตามเกณฑ์ที่รัฐบาลให้สิทธิไว้เดิม ไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาถูกจับเพราะมติ ครม. ไม่ใช่ตัวกฎหมาย เมื่อไปถึงศาลก็ต้องมาติดคุก แต่ถ้ากฎหมายนี้ออก จะถือเป็นทางที่อำนวยความยุติธรรมให้ เราต้องให้ความสำคัญความเป็นคน เป็นมนุษย์ เพราะทุกคนควรจะได้รับการคุ้มครองว่าประเทศใดก็ตามหากไม่สามารถปฏิรูปร่วมกันโดยใช้ที่ดินหรือความยุติธรรมได้ ประเทศนั้นจะมีแต่ความขัดแย้งและความเจริญจะไม่มีครับ” พ.ต.อ. ทวี กล่าว
ขณะที่วานนี้ (14 พ.ย.68) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง มอบหมาย เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ในฐานะรองประธานฯ เป็นประธานการประชุมฯรับฟังความเห็นภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา, ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครราชสีมา, ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 นครราชสีมา, ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา), หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทับลาน, นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และที่ทำการปกครองจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อ ร่าง กม.ดังกล่าว
“เราอยากรับฟังข้อเท็จจริง รับทราบความคิดเห็น อยากจะดูข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครราชสีมา มีทั้งหมด 552 คดี ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะพอสมควร และเราจำเป็นต้องรับฟังทั้งสองฝ่าย ทั้งชาวบ้านและส่วนราชการที่เป็นผู้ปฏิบัติ การดำเนินการเช่นนี้เพื่อให้คณะกรรมาธิการฯ มีข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อนำมาสรุปเป็นข้อกฎหมายที่เป็นที่ยอมรับ เมื่อกฎหมายออกมาแล้วจะต้องสามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ และต้องไม่กระทบต่อการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติที่ดำเนินการไปแล้ว” เลาฟั้ง กล่าว



โดยการลงพื้นที่รับฟังความเห็นในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนเพื่อนำไปปรับปรุงร่างกฎหมายให้เกิดความยุติธรรมสูงสุดก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ต่อไป ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีกำหนดการประชุมอีกครั้ง ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายนนี้
