เปิดโมเดล ‘ห้องเรียนข้ามขอบ’ การศึกษาทางเลือกในเชียงดาว เชื่อมการเรียนรู้กับชีวิตจริง สำหรับเด็กหลุดระบบ กลุ่มเปราะบาง มุ่งสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่ยืดหยุ่น มีส่วนร่วม และตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้เรียนในโลกยุคใหม่
โครงการ “ห้องเรียนข้ามขอบ” เป็นหลักสูตรทางเลือกที่เชื่อว่าการศึกษาควรออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน โดยเฉพาะเยาวชนที่หลุดออกจากระบบ หรือมีความเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบ ให้สามารถกลับมาเรียนรู้ในระบบที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง ตามความสนใจ และบริบทของตนเอง โดยโครงการนี้มีความเคลื่อนไหวในวงการศึกษาที่มุ่งเปลี่ยนแปลงจากห้องเรียนจริง ผ่านการลงมือปฏิบัติและสร้างความรู้จากพื้นที่ โดยเกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายก่อการครู คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และพันธมิตรหลากหลายองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม

รศ.อนุชาติ พวงสำลี ประธานบริหารโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า โครงการฯ ได้เข้าไปทำงานกับโรงเรียนในจังหวัดต่าง ๆ เช่น พิจิตร อุตรดิตถ์ และล่าสุดร่วมกับกรุงเทพมหานคร เพื่อสนับสนุนโรงเรียนในสังกัด กทม. ที่ต้องการการพัฒนาในหลายมิติ ได้ไปทำความรู้จักกับโรงเรียนในกรุงเทพฯ และพบว่า โรงเรียนของ กทม. หลายแห่งน่าสนใจมาก และมีพื้นที่ให้ช่วยเติมเต็มในเชิงระบบ
“เราลงไปคลุกคลีอยู่กับพื้นที่จริง เพราะเราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงการศึกษาต้องเริ่มที่ห้องเรียน ไม่ใช่แค่ในเชิงนโยบาย แต่ต้องเปลี่ยนแปลงที่ตัวครูและนักเรียนโดยตรง”
รศ. อนุชาติ พวงสำลี
แนวทางของโครงการฯ เน้นการสร้างนวัตกรรมทางการเรียนรู้ การพัฒนาครูให้เป็นผู้เปลี่ยนแปลง (Agent of Change) และการเก็บข้อมูลจากพื้นที่เพื่อสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้เชิงปฏิบัติที่ตอบโจทย์จริง โครงการยังเสนอแนวคิดใหม่ต่อระบบการศึกษาของไทย โดยมองว่าระบบการเรียนรู้ในอนาคตต้องมีความหลากหลายและเฉพาะตัวมากขึ้น รศ.อนุชาติ เชื่อว่า ระบบการศึกษาต้องเปิดกว้าง ไม่จำกัดแค่โรงเรียน ผู้ให้บริการการเรียนรู้ต้องมีรูปแบบหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการของเด็กไทยในอนาคตที่ซับซ้อนและหลากหลายขึ้น


‘เชียงดาว’ เมืองแห่งการเรียนรู้ :
บทเรียนจากการขับเคลื่อน ‘ห้องเรียนข้ามขอบ’ เพื่อการศึกษาที่ยืดหยุ่น
อ.เชียงดาว เมืองเล็ก ๆ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ราว 70 กิโลเมตร กำลังกลายเป็นพื้นที่ต้นแบบของการเรียนรู้ผ่านชุมชน ด้วยความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม ศิลปิน นักการศึกษา และชาวบ้านในท้องถิ่น ที่ช่วยกันขับเคลื่อนโครงการ “เชียงดาว เมืองแห่งการเรียนรู้” และต่อยอดสู่ “ห้องเรียนข้ามขอบ” – โมเดลการศึกษาทางเลือกที่เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มักหลุดจากระบบการศึกษาแบบเดิม
พฤหัส พหลกุลบุตร เลขาธิการมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) เปิดเผยว่า โครงการนี้ เน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงในพื้นที่ โอบรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ของเชียงดาว ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและทุนมนุษย์ เชียงดาวเป็นต้นน้ำปิง เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลของโลก และยังเป็นบ้านของคนเก่ง ๆ จากทั่วประเทศที่เลือกมาใช้ชีวิตและร่วมแบ่งปันความรู้กันในเมืองนี้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้แบบองค์รวม

เป้าหมายของโครงการนี้คือการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาที่ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับบริบทชีวิตของผู้เรียนที่มีความหลากหลาย เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับกลไกการทำงานขององค์กรในท้องถิ่นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ในชุมชนเพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสในการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายอำนาจในการจัดการศึกษาสู่ชุมชน และสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัย เคารพในความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมและชีวิต
โครงการห้องเรียนข้ามขอบ มุ่งออกแบบการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่จำกัดสังกัดหรือสถานะทางสังคม เยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบ นักเรียนจากโรงเรียนประถมถึงมัธยม ตลอดจนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ขาดบัตรหรือเข้าไม่ถึงการศึกษา ต่างมีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันทุกสัปดาห์ ตลอด 21 สัปดาห์ ด้วยแนวทางที่เน้นศิลปะ สื่อ การลงมือทำจริง และกระบวนการตั้งคำถามจากประสบการณ์ในชุมชน
“เราเชื่อว่าโลกของการเรียนรู้นั้นไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้ โดยไม่ต้องติดอยู่กับกรอบของระบบแบบเดิม”
พฤหัส พหลกุลบุตร

สำหรับการประเมินผลการเรียนรู้ จะเน้นการใช้ “ร่องรอยการเรียนรู้” เป็นหลัก เพื่อสะท้อนถึงความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้เด็กเกิดความรู้สึกและมีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ มากกว่าการทำให้การประเมินเป็นอุปสรรค ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมร่องรอย และประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก แล้วแปลผลให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดในหลักสูตร ขณะเดียวกัน คณะกรรมการประเมินจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ที่สามารถติดตามและให้การประเมินได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป้าหมายหลักไม่ใช่เกรดของเด็ก แต่คือการส่งเสริมให้เด็กสามารถเรียนจบ มีวุฒิการศึกษา และนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตในระยะยาวได้จริง
การต้อนเด็กเข้าระบบ
ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการศึกษาเพื่อทุกคน
ในยุคที่เด็กจำนวนไม่น้อยต้องหลุดจากระบบการศึกษาเพราะเงื่อนไขชีวิตที่ซับซ้อน แนวคิด ห้องเรียนข้ามขอบ จึงถือเป็นความพยายามใหม่ในการปฏิรูปการศึกษาของไทยให้ตอบโจทย์โลกจริง ณิชา พิทยาพงศกร นักวิจัยอิสระ และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กรและการเรียนรู้ อธิบายว่า ห้องเรียนข้ามขอบ หมายถึง การเปิดโอกาสให้เด็กสามารถเรียนรู้จากที่ไหนก็ได้ ในรูปแบบใดก็ได้ ตราบใดที่พวกเขาได้ทั้งทักษะที่ใช้ได้จริง และวุฒิการศึกษาที่นำไปต่อยอดได้ในอนาคต ซึ่งเป็นการผสานจุดแข็งของการเรียนรู้ตามอัธยาศัยและระบบการศึกษาเข้าด้วยกัน
ณิชา ระบุว่า การศึกษาที่มีความยืดหยุ่นไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็น เพราะบริบททางเศรษฐกิจและสังคมกำลังบีบให้เด็กต้องกลายเป็นผู้รับภาระของครอบครัว ทั้งปัญหาหนี้สิน พ่อแม่สูงวัยที่ไม่สามารถทำงานได้ และการหย่าร้างของพ่อแม่ที่ทำให้เด็กหลายคนเติบโตมาโดยไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ จากการลงพื้นที่ พบว่า เด็กไทยกว่า 70% อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อย และในจำนวนนั้นถึง 84.9% อยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งทำให้อนาคตของพวกเขาเปราะบางกว่าที่เคย

ปัญหาที่ซับซ้อนนี้ไม่ได้สะท้อนออกมาแค่ในรูปของตัวเลข แต่ยังส่งผลต่อความสามารถในการเข้าถึงการศึกษาอย่างลึกซึ้ง เด็กจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานบ่อย จากเชียงดาวไปชลบุรี หรือย้ายกลับมาภาคเหนือโดยไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลให้ระบบการศึกษาที่ตายตัวไม่สามารถตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของชีวิตเด็กได้ทัน บางคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เพราะไม่สามารถเทียบโอนผลการเรียนได้
ท่ามกลางปัญหาในระบบ ยังมีความหวังเกิดขึ้นจากนอกระบบ ณิชา ชี้ให้เห็นว่า นิเวศการเรียนรู้นอกห้องเรียนกำลังเติบโตอย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ยูเนสโกให้การสนับสนุน ซึ่งประเทศไทยมีถึง 10 เมืองที่เข้าร่วมแล้ว รวมทั้งเมืองที่แม้จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็ลุกขึ้นมาสร้างพื้นที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง เช่น เชียงดาว ถือเป็นการเปิดทางเลือกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้เรียน
“เราไม่ได้จัดการศึกษาเพื่อให้เด็กอยู่ในโรงเรียนตลอดไป วันหนึ่งเขาต้องออกไปใช้ชีวิตในโลกข้างนอก จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราเชื่อมโลกข้างนอกเข้ามาให้เด็กได้เรียนรู้ตั้งแต่เขายังอยู่ในโรงเรียน เพื่อวันที่ที่เขาออกจากโรงเรียน เขาจะพร้อมใช้ชีวิตที่มีความหมาย”
ณิชา พิทยาพงศกร

หนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมคือโครงการ “ปิดเทอมสร้างสรรค์” ที่มีเป้าหมายให้เด็กทุกคนเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ภายใน 15 นาทีจากบ้าน โดยได้รับทุนจาก สสส. และความร่วมมือจากกว่า 10 องค์กร โครงการนี้กำลังขยับจากการจัดกิจกรรมในช่วงปิดเทอม ไปสู่การสร้างกิจกรรมตลอดทั้งปี มีฐานข้อมูลของนักสร้างการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ภาคประชาชน ซึ่งสามารถรองรับเด็กได้ถึง 381,000 คน หรือเกือบครึ่งของนักเรียน กศน. ทั้งประเทศ
ในเชิงนโยบาย ณิชาเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องทำให้เครื่องมือเหล่านี้เชื่อมต่อถึงกันได้จริง ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แนวทางการเทียบโอนผลการเรียนตั้งแต่ปี 2549 หรือหลักสูตรการศึกษาที่อนุญาตให้ปรับใช้ตามบริบทของพื้นที่ รวมถึงเอกสารสำคัญที่เปิดช่องให้ปรับตัวชี้วัดและโครงสร้างเวลาเรียนสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น เด็กย้ายถิ่น หรือเด็กนอกระบบ
ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา รัฐไทยยังได้ออกนโยบายใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ธนาคารหน่วยกิต และนโยบาย Zero Dropout ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าประเทศไทยมี “จิ๊กซอว์” ครบทุกชิ้น แต่ยังขาดกลไกในการต่อให้เป็นภาพเดียวกัน และหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่พยายามทำสิ่งนี้ให้เป็นจริงก็คือ เชียงดาว ซึ่งกำลังพิสูจน์ว่า การศึกษาที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตเด็ก เป็นไปได้จริงหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง