‘พริษฐ์’ อภิปรายงบฯ การศึกษาปี 69 ชี้ จัดสรรไม่มีประสิทธิภาพ เสนอ “รีเซ็ต” 6 ด้าน ยกเครื่องทั้งระบบการศึกษา เพื่อสร้างความหวัง ไม่ใช่ให้คนหมดหวัง
30 พฤษภาคม 2568 ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 1 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ปีนี้ได้รับจัดสรรเพิ่มขึ้น แต่ยังมีโครงสร้างคล้ายเดิม ทำให้แม้จะลงง บประมาณไปมากขึ้น แต่การศึกษาไทยก็ยังไม่ไปไหน ยังไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนเช่นเดิม พรรคประชาชนจึงเสนอว่าการจะใช้งบการศึกษาต้องไปให้ไกลกว่าการแค่ปรับปรุง-เติมแต่งงบประมาณรายโครงการ ซึ่งจำเป็นต้อง Reset อย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ หลักสูตร ภาระงานครู กลไกลดเหลื่อมล้ำ การลงทุนในเทคโนโลยี มูลค่าของใบปริญญา และบทบาทของรัฐในการส่งเสริมทักษะแรงงาน
พริษฐ์ ชี้ว่าแม้งบกระทรวงศึกษาธิการจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และได้รับจัดสรรมากเป็นอันดับต้น ๆ จากทุกกระทรวง แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์การปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปริมาณเม็ดเงิน แต่เป็นเรื่องการจัดงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โครงการของกระทรวงศึกษาธิการแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง โดยในปีงบประมาณ 2569 มีเพียง 3 โครงการใหม่เท่านั้น ขณะที่ปี 2568 กลับยกเลิกไปถึง 5 โครงการจากทั้งหมดเกือบ 100 โครงการ
พริษฐ์ เสนอว่าการปฏิรูปการศึกษาจำเป็นต้อง “รีเซ็ต” โครงสร้างหลักอย่างน้อย 6 ด้าน โดยเริ่มจาก การปรับหลักสูตร ที่ควรมีความรอบคอบและต่อยอดจากงานวิจัยเดิม ไม่ใช่เร่งรีบยกร่างหลักสูตรใหม่ในเวลาไม่กี่เดือน จนลดความสำคัญของสมรรถนะสำคัญ เช่น การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร และความเป็นพลเมือง ซ้ำยังมีปัญหา การเตรียมครูและโรงเรียนที่ไม่พร้อมรับหลักสูตรใหม่ โดยระบุว่ารัฐเผยแพร่เอกสารหลักสูตรเพียง 45 วันก่อนเปิดภาคเรียน และการอบรมส่วนใหญ่เป็นวิดีโอออนไลน์ความยาว 7 ชั่วโมงบนยูทูบเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการปรับตัว

อีกด้านที่เขาเสนอให้รีเซ็ตคือ ภาระงานครู ซึ่งหลายโครงการของรัฐสร้างภาระโดยไม่จำเป็น ครูกลายเป็นโรงงานผลิตรายงานจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการต่าง ๆ ที่แม้มีเจตนาดี แต่กลับเพิ่มงานเอกสารโดยไม่ก่อประโยชน์ตรงต่อผู้เรียน เช่น โครงการ ITA ของ ป.ป.ช. ที่แม้ตั้งเป้าสร้างความโปร่งใส แต่กลับวัดผลด้วยตัวชี้วัดที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงและเพิ่มภาระให้ครูอย่างมาก รัฐควรทบทวนโครงการลักษณะนี้อย่างจริงจัง หากไม่เกิดประโยชน์ควรยกเลิก หรือปรับให้ครูเลือกทำตามความสมัครใจ พร้อมลดขั้นตอนและความถี่ในการรายงาน เพื่อให้ครูมีเวลาทุ่มเทให้การสอนอย่างคุ้มค่ากับงบประมาณที่รัฐลงทุนลงแรง
สำหรับประเด็น กลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พริษฐ์มองว่า การเน้นแจกทุนเพียงอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์ ยกตัวอย่างทุนโอดอสที่แม้ใช้งบฯ จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลกว่า 5,300 ล้านบาท แต่ช่วยนักเรียนได้เพียง 5,700 คน จากผู้สมัครหลักแสน เขาเสนอให้ลงทุนในระบบสนับสนุนระยะยาวแทน
“โอกาสที่เด็กคนนึงครับ จะได้รับคัดเลือกไป ODOS Summer camp จากประมาณ 100,000 คนที่สมัคร คัดเหลือกว่า 5,700 คน จะอยู่ที่อัตราประมาณ 1% ถ้าพูดง่าย ๆ คือเทียบเท่ากับโอกาสที่คน ๆ หนึ่งครับ จะถูกหวยเลขท้าย 2 ตัว”
พริษฐ์ วัชรสินธุ

ในด้านอุดมศึกษา พริษฐ์เสนอให้เพิ่ม การลงทุนในเทคโนโลยีและมูลค่าของใบปริญญาโดยเน้นให้การเรียนระดับมหาวิทยาลัยตอบโจทย์ตลาดแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ยกเลิกและเปิดหลักสูตรใหม่เป็นสัดส่วนสูงกว่าประเทศไทยอย่างชัดเจน และยังเสนอให้รัฐจับมือกับเอกชนในการพัฒนา ระบบทวิภาคีให้ลึกขึ้น โดยมีภาคเอกชนร่วมออกแบบหลักสูตร และรับรองการจ้างงาน ไม่ใช่แค่ให้เด็กฝึกงานตามเงื่อนไขขั้นต่ำ พร้อมทั้งผลักดันระบบฝึกงานแบบได้รับค่าตอบแทนเพื่อแก้ปัญหาเด็กจบใหม่ไร้ประสบการณ์
การรีเซ็ตใบปริญญา ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของการศึกษาอุดมศึกษาให้ไม่ใช่เพียงแค่ “ความสำเร็จในอดีต” ที่บอกว่าใครเคยเรียนอะไรมา แต่ต้องเชื่อมโยงกับทักษะอนาคตและตอบโจทย์ตลาดแรงงานอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดเริ่มตั้งคำถามกับหลักสูตรที่รัฐลงทุนมหาศาล แต่กลับไม่สามารถรับประกันได้ว่าเด็กจบใหม่จะมีทักษะเพียงพอต่อการทำงาน รัฐจึงควรเร่งปรับบทบาท 3 ด้านหลัก ได้แก่ การปรับสาขาวิชาให้ทันสมัยและสอดคล้องกับตลาดมากขึ้น, การออกแบบระบบอาชีวะที่ให้เอกชนมีส่วนร่วมเชิงลึกในการกำหนดหลักสูตรและการจ้างงาน, และการสร้างระบบฝึกงานที่มีการอุดหนุนจากรัฐเพื่อให้เด็กมีประสบการณ์จริงก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน
อีกข้อเสนอสำคัญคือการปรับบทบาทของรัฐในการส่งเสริมทักษะแรงงาน ในตลาดแรงงาน โดยเลิกคิดแทนตลาด เช่น โครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งเชฟที่ใช้งบฯสูงถึง 70 ล้านบาท ทั้งที่ร้านอาหารปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 89% เขาเสนอให้เปลี่ยนจาก “โครงการฝึกอบรม” เป็น “คูปองทักษะ” ที่ประชาชนเลือกเรียนเองได้
พริษฐ์สรุปว่า การศึกษาไม่ใช่แค่อนาคตของเด็ก แต่เป็นบริการแรกที่ประชาชนได้รับจากรัฐ จึงควรเป็นจุดเริ่มต้นของ “ความหวัง” ไม่ใช่ “ความหมดหวัง” พร้อมย้ำว่าวาระปฏิรูปการศึกษา คือวาระเร่งด่วนที่รอไม่ได้ และเหมือนกับที่มีคนเคยระบุไว้ว่า “รัฐบาลว่า”ถ้าไม่ทำตอนนี้ แล้วจะทำตอนไหน”