ย้ำเปิดพื้นที่รับฟังเสียงอย่างมีความหมาย พร้อมผลักดัน 5 กลุ่มนโยบายหลัก การเมือง สิทธิมนุษยชน การศึกษา สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงรัฐสวัสดิการ หวังเห็นสังคมที่เป็นธรรม
วันนี้ (7 ส.ค. 68) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เวทีรับฟังเสียงและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของเครือข่ายเด็กและเยาวชน โดยระหว่างที่เยาวชนนำเสนอนโยบายต่อหน้าคณะรัฐมนตรี สื่อมวลชนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสังเกตการณ์และร่วมรับฟังข้อเสนอของเยาวชน ซึ่งจะได้รับอนุญาตกลับเข้าห้องประชุมอีกครั้งหลังจากเยาวชนนำเสนอนโยบายครบทุกทีม เพื่อรับฟังการสรุปประเด็นและข้อเสนอแนะจากรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในช่วงท้าย

จากเนื้อหาการนำเสนอโดยตัวแทนเยาวชน ได้ระบุปัญหาที่ทำให้ไปไม่ถึงฝัน เนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำในโครงสร้าง ทั้ง เยาวชน ผู้พิการ ถูกตีกรอบให้เป็นเพียงผู้รับความช่วยเหลือ ถูกจำกัดสิทธิ์การเลือกตั้ง เข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม และโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ส่วนวงจรรัฐประหาร และวัฒนธรรมอำนาจนิยม ก็ลดทอนการมีส่วนร่วมของเยาวชน รวมทั้งเยาวชนในต่างจังหวัด ยังเข้าไม่ถึงสิทธิบริการ และโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัญหาทั้งหมด เกิดจากรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ได้ฟังเสียงของเยาวชนอย่างแท้จริง
ขณะที่ ภูมิธรรม บอกว่า การรับฟังเสียง และข้อเสนอแนะของเยาวชน เป็นเรื่องดี ก่อนหน้านั้นได้พบกับผู้บริหารท้องถิ่น ที่มองเห็นปัญหาสำคัญ คือ ยาเสพติด ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ชาวบ้านเห็นปัญหา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยเป็นหูเป็นตา ร่วมมือกันเพื่อให้สามารถแก้ไขได้ และที่ผ่านมาตนเองมีส่วนริเริ่มในการทำสภาเยาวชนแห่งชาติ ที่มาร่วมเสนอแนวคิดต่าง ๆ ซึ่งได้ไอเดียที่ดี จึงขอให้จังหวัดคัดตัวแทนเข้ามานั่งคุยในสภาฯ เพื่อพูดคุยกัน จนทำให้เกิดนโยบายที่ดีในหลายเรื่อง นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง


ภูมิธรรม บอกด้วยว่า การรับฟังความคิดเห็นถือเป็นส่วนสำคัญกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดของผู้ใหญ่ วันนี้รัฐบาลสนใจที่จะรับฟังเสียงเยาวชนคนรุ่นใหม่ และคิดว่า เวทีนี้ไม่ควรเป็นเวทีที่แค่พูดเท่านั้น ควรทำต่อเนื่อง เพื่อพูดในเชิงนโยบาย และได้ข้อสรุป ทำให้เป็นนโยบายสาธารณะ เพื่อให้รัฐ หรือ สภาผู้แทนราษฎร นำไปออกเป็นกฎระเบียบ สร้างการรับรู้รับทราบ เพื่อเป็นพลังในการแก้ไขปัญหาต่อไป
“ผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องยอมรับว่า ชีวิตที่ผ่านโลกมา ทำให้อ่อนล้า แต่เยาวชนเป็นดวงตะวันที่จะส่องแสง โลกฝากไว้ที่มือของเยาวชนทุกคน ขอช่วยกันขยายผล และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกคน ซึ่งยังมีรูปแบบอีกมากมายที่ต้องนึกคิดต่อ และจะนำเยาวชนมาช่วยกันสร้างนโยบาย”
ภูมิธรรม เวชยชัย

เยาวชนเสนอนโยบายอะไรบ้าง ?
บนเวทีรับฟังเสียงเยาวชนและการนำเสนอนโยบาย มีเยาวชนจาก 9 ทีม ร่วมนำเสนอนโยบายที่ครอบคลุมหลากหลายประเด็น โดยทาง The Active ได้รับเอกสารและข้อมูลประกอบการนำเสนอนโยบายที่เยาวชนรวบรวมมายังเวทีรับฟังวันนี้ ซึ่งสามารถสรุปเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1. การเมืองและการกระจายอำนาจ 2. สิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน 3. การศึกษา 4. สุขภาพ และรัฐสวัสดิการ 5. สิ่งแวดล้อมและเมือง
1. การเมืองและการกระจายอำนาจ เยาวชนเสนอให้ผลักดันการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น สร้างกลไกที่ป้องกันการรัฐประหาร เปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง และลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พร้อมทั้งส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียนให้เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประเทศไทยกำลังจะจัดทำ ควรเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชน ซึ่งเป็นพลังการเมืองสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังขาดช่องทางการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย
2. สิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน ข้อเสนอในมิตินี้ครอบคลุมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ สิทธิของผู้พิการ คนไร้บ้าน เยาวชนชาติพันธุ์ และการส่งเสริมสิทธิชุมชน กลุ่มเยาวชนระบุว่า ในประเทศไทยมีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 6 ล้านคน หรือราว 9.6% ของทั้งประเทศ แต่ยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำและการถูกกีดกันจากนโยบายสาธารณะ โดยเสนอให้รัฐรับรองสิทธิและเปิดพื้นที่ให้พวกเขามีบทบาทในการออกแบบนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตตนเอง
3. การศึกษา เยาวชนหวังสร้างระบบการศึกษาที่ไร้รอยต่อและเท่าเทียม โดยเสนอนโยบาย บัตรประชาชนใบเดียวเรียนได้ทุกที่ (Learning Passport) ธนาคารหน่วยกิต เพื่อโอนสะสมหน่วยกิตระหว่างระบบ กองทุนโครงการเยาวชน และ พื้นที่เรียนรู้สาธารณะ ลดภาระงานครู และเสริมทักษะ Empathy ในสถานศึกษา และ การรู้เท่าทันดิจิทัล
โดยนโยบาย Learning Passport จะเชื่อมโยงสิทธิการเรียนรู้กับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เพื่อให้เด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เข้าถึงการศึกษาที่เหมาะกับตนเอง ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย พร้อมกับสามารถรับทุนหรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ผ่านระบบดิจิทัล เช่น PromptPay ได้โดยตรง แนวคิดนี้จะช่วยสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงวัยทำงาน โดยใช้การบูรณาการข้อมูลจาก 11 หน่วยงาน และครอบคลุมเด็กกว่า 3 ล้านคนจากครัวเรือนรายได้น้อย รวมถึงเด็กนอกระบบอีกกว่า 9 แสนคน
4. สุขภาพและรัฐสวัสดิการ เยาวชนเสนอให้รัฐจัดระบบ รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ที่ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือ แต่คือการลงทุนในมนุษย์ หรือที่เรียกว่า Social Investment Welfare ข้อเสนอสำคัญ ได้แก่ ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ลดความแออัดในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ขยายการดูแลสุขภาพให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม รับรองสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น เงินอุดหนุนเด็ก การเข้าถึงการศึกษาฟรี การพัฒนาทักษะอาชีพ และระบบบำนาญประชาชน
5. สิ่งแวดล้อมและเมือง ข้อเสนอในมิตินี้ครอบคลุมหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของประชาชน เช่น การจัดการขยะอย่างยั่งยืนขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาด แก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 และไฟป่า ส่งเสริมอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น พรฎ.อนุรักษ์ทรัพยากร และ กฎหมายภูมิอากาศ เป็นต้น แม้ปัจจุบัน ประเทศไทยจะเริ่มพูดถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น แต่ยังขาดนโยบายชัดเจนในการส่งเสริม เช่น การลดภาษีหรือเพิ่มการเข้าถึงในพื้นที่ห่างไกล ส่วนระบบขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัดยังใช้พลังงานสกปรกและไม่ปลอดภัย
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะภาคเหนือ ยังถูกละเลยจากรัฐ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของสินค้าเกษตรจากการเผาป่าในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน สุดท้าย ปัญหาเมืองที่ไม่รองรับทุกคนยังคงมีอยู่ แม้จะมีกฎหมาย Universal Design แล้วก็ตาม เพราะการออกแบบไม่ได้ดึงผู้ใช้งานจริง เช่น คนพิการ เข้ามามีส่วนร่วม ทำให้พวกเขาถูกกีดกันจากการศึกษา การทำงาน และการใช้ชีวิตในเมืองอย่างเท่าเทียม