คนแวดวงการศึกษา ชวนมองปัญหาแบบองค์รวม รับสภาพครูแบกภาระหนัก ทั้งเนื้อหาการสอน วิธีสื่อสาร รับมือพฤติกรรมเด็ก ย้ำ แก้ความรุนแรง ไม่ใช่แค่ด่า ผลักไส ลงโทษ ไล่ออก แล้วจบ เสนอบูรณาการจริงจัง ไม่มีใครควรใช้ความรุนแรงต่อกัน หวังสร้างพื้นที่โรงเรียนปลอดภัย ทำได้จริงสักที
ตามที่โลกออนไลน์เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ นักเรียนชาย ชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.อุทัยธานี ใช้ความรุนแรงต่อครูผู้สอน เพียงเพราะไม่พอใจผลคะแนนสอบนั้น The Active สอบถามมุมต่อประเด็นนี้กับกรรมาธิการการศึกษา และตัวแทนครู จากกลุ่มครูขอสอน มองตรงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นปัญหาความปลอดภัยในรั้วโรงเรียนที่เรื้อรังมานาน ต้องหาทางแก้ไขและยับยั้ง
คนแวดวงการศึกษา ชี้ต้องมองปัญหาแบบองค์รวม
ธนวรรธน์ สุวรรณปาล หรือ ครูทิว ครูวิชาสังคมศึกษา และหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม “ครูขอสอน” ให้ความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้น โดยมองว่าธรรมชาติ งาน ครู เป็นงานที่ยากและละเอียดอ่อนในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่เรากำลังเป็นครูในสภาวะที่สังคมเปราะบาง พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่า ปัจจัยการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ทำให้งานของครูยากขึ้นอีกหลายเท่า
“งานครู คือ การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตลอดเวลา ต้องตัดสินใจทั้งเรื่องเนื้อหา วิธีสื่อสาร และการรับมือพฤติกรรมเด็ก”
ปารมี ไวจงเจริญ หรือ ครูจวง สส.พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร มองว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรให้สังคมมองเพียงพื้นผิว เพราะการกระทำความรุนแรงของนักเรียนคนนี้เป็นความผิด และต้องมีกระบวนการสืบสวนสอบสวนต่อไป แต่การที่เด็กคนหนึ่งจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงขึ้นมาได้นั้น อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ

ปารมี ชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุอาจมาจากการอบรมเลี้ยงดูและความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ปัญหาในโรงเรียนหรือกลุ่มเพื่อน หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เด็คคนหนึ่งมีพฤติกรรมดังกล่าว
“ถึงเวลาแล้วที่ทุกโรงเรียนต้องมีนักจิตวิทยาในการให้คำปรึกษากับนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา เพราะทุกวันนี้กระทรวงศึกษาจัดให้มีแค่นักจิตวิทยาประจำเขตพื้นที่ ซึ่งดิฉันเห็นว่าไม่พอ”
ปารมี ไวจงเจริญ
เด็กไทย 40% เจอความรุนแรงในโรงเรียน
“ถ้าเราปลูกฝังความรุนแรง เด็กก็จะซึมซับความรุนแรง”
ก่อนหน้านี้ สภาผู้บริโภค เปิดเผยผลสำรวจปี 2025 ให้เห็นสถิติ ที่พบว่า 40% ของเด็กไทยเคยเผชิญความรุนแรงในโรงเรียน ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษาไม่ได้เป็นเหตุการณ์แปลกใหม่ แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อทั้งนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ ได้ขับเคลื่อนนโยบาย “สถานศึกษาปลอดภัย” และโครงการ “โรงเรียนส่งเสริมความปลอดภัย” (Safety Promotion School: SPS) เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในโรงเรียน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่านโยบายเหล่านี้ยังต้องการการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ จนทำให้เกิดคอมเมนต์ในโลกออนไลน์บางส่วนที่มองว่า ควรกลับมาใช้วิธีการลงโทษแบบเดิม
ครูทิว แสดงจุดยืนต่อเสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้วิธีการลงโทษแบบเดิม จึงตั้งข้อสังเกตถึงการกล่าวโทษว่าเหตุเกิดขึ้นเป็นเพราะสังคมให้ท้ายเด็ก ปกป้องเด็ก ไม่ให้ครูลงโทษ และเรียกร้องให้ครูใช้ความรุนแรงได้เหมือนเมื่อก่อน โดยเห็นว่า ไม่มีใครควรใช้ความรุนแรง ต่อให้เป็นครู ก็ไม่ควรใช้ พฤติกรรมที่ต้องแก้ไขก็แก้ไข เด็กที่ทำผิดก็รับโทษตามสัดส่วน ไม่ได้แปลว่าจะต้องละทิ้งสิทธิเด็ก หรือพยายามใช้จิตวิทยาเชิงบวก
ความรุนแรงต้องแก้ด้วยการบูรณาการ
ครูทิว ยังตั้งคำถามกับแนวทางการแก้ปัญหาแบบผิวเผิน เมื่อเกิดปัญหาพฤติกรรมเด็กขึ้นมา มันง่ายที่จะโทษว่าเขาเป็น ไอ้เด็กเลว ลงโทษ ผลักไส ไล่ออกแล้วจบ ในขณะที่เขาจะไปไหนได้ สุดท้ายก็ยังอยู่ร่วมในสังคมนี้โดยที่ปัญหาพฤติกรรมนั้นยังไม่ถูกแก้

“ครูและโรงเรียนเป็นแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของนิเวศรอบตัวเด็ก ที่ก็มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาอย่างเป็นทางการ ในขณะที่ชีวิตส่วนที่เหลือของนักเรียนยังคงเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา”
ธนวรรธน์ สุวรรณปาล
ครูทิว ยังเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ ไม่ได้มองแค่ว่าเป็นปัญหาของครู ของโรงเรียน แต่เป็นปัญหาของทุกคน ของทั้งสังคม
“ครูและโรงเรียนต้องมองเห็นบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบในส่วนของตนเองในเรื่องนี้ และต้องทำงานร่วมกับพ่อแม่ และภาคส่วนอื่นๆ เพราะเราแก้ปัญหานี้คนเดียวก็ไม่ได้”
ธนวรรธน์ สุวรรณปาล
สอดคล้องกับ ครูจวง ที่เสนอให้บูรณาการการทำงานของทุกฝ่าย :
- กระทรวงศึกษาธิการ: ปรับปรุงระบบสนับสนุนทางจิตใจในโรงเรียน
- กระทรวง พม.: ใช้ประโยชน์จากนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: สร้างเครือข่ายความปลอดภัยในชุมชน
- ครอบครัว: เสริมสร้างพื้นฐานทางจิตใจและค่านิยมที่ถูกต้อง
“การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งขึ้นมาให้เติบโตเป็นพลเมืองที่ดีนั้น ต้องเกิดจากความร่วมมือของทั้งครอบครัว โรงเรียน ชุมชน หน่วยงานรัฐและสังคมค่ะ”
ปารมี ไวจงเจริญ
บทเรียนจากเหตุการณ์ : ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง
สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นชัดว่าปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนไม่ใช่แค่เรื่องของการลงโทษ แต่เป็นเรื่องของการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมของเด็กและเยาวชน
ครูจวง ยังย้ำว่า ถ้าเราปลูกฝังการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล หรือปลูกฝังหลักการเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์อย่างเสมอภาคกัน เด็กก็จะซึมซับในสิ่งที่เราปลูกฝัง สิ่งนี้ควรเป็นหลักคิดสำคัญในการปฏิรูประบบการศึกษาไทยให้เอื้อต่อการสร้างสังคมสันติมากกว่าการแข่งขันและใช้ความรุนแรง
ส่วน ครูทิว ก็อยากเห็นการแบ่งปันความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบที่แท้จริงของเหตุการณ์ความรุนแรงต่อครู ใครเป็นครู ที่อาจเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะรู้ว่ามันไม่ได้เจ็บแค่ร่างกายภายนอก แต่ด้วยความเป็นครู อาจจะทำให้ข้างในมันแหลกสลาย ต้องใช้เวลาในการเยียวยาจิตใจ
“ต่อให้คุณเป็นครูแบบไหน เรื่องแบบนี้ก็อาจจะเกิดกับคุณได้ จึงส่งกำลังใจให้กับคุณครูที่เป็นเหยื่อของความรุนแรงนี้ และครูทุกคนที่ต้องเผชิญความท้าทายในยุคสมัยที่ยากลำบากนี้ด้วย”
ธนวรรธน์ สุวรรณปาล
ล่าสุดจากรายงานข่าว ระบว่า ครูที่โดนทำร้ายร่างกายจากเหตุการณ์นี้ ยังคงมีอาการผวา และได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ ซึ่งตำรวจจะการเรียกสอบปากคำอีกครั้งในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ส่วนนักเรียนที่ก่อเหตุได้ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว
แต่คำถามที่ ครูจวง และครูทิว ทิ้งท้ายไว้จากเหตุการณ์นี้คือ วงการการศึกษาไทยจะเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้ และจะต้องปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยในโรงเรียนอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก