‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ ดัน 4+6 โมเดล หนุนโรงเรียน-ชุมชน ร่วมสร้างการเรียนรู้คุณธรรมที่นักเรียนเป็นคนออกแบบ

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ร่วมกับ กสศ. และภาคีเครือข่ายด้านการศึกษา เปิดเวทีโรงเรียนต้นแบบคุณธรรมผ่าน ‘4+6 โมเดล’ มุ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยั่งยืน เน้นครูและนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการออกแบบการเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รักคุณธรรม ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเวทีพื้นที่ต้นแบบโรงเรียนคุณธรรม จังหวัดสกลนคร ภายใต้แนวคิด “Grow Together with Good” จุดประกายคุณธรรม ด้วย 4+6 โมเดลที่เปิดโอกาสให้ครู นักเรียน ผู้บริหาร รวมถึงผู้ปกครองและชุมชนร่วมกันพัฒนาโรงเรียนอย่างเป็นระบบ มุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนจากผู้อยู่ปลายสายนโยบายอย่างนักเรียนและครู เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา กสศ. กล่าวถึงการทำงานตลอด 7 ปีของโครงการว่า ภารกิจลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาไม่อาจทำเฉพาะในโรงเรียนได้ เพราะปัญหาและศักยภาพของเด็กเกี่ยวพันกับครอบครัวและชุมชนโดยตรง พร้อมย้ำว่าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นจึงวางบทบาทครูให้เป็นทั้งครูและนักพัฒนาชุมชน ควบคู่กับการใช้เครื่องมือ 4+6 โมเดล ที่โรงเรียนและผู้บริหารเลือกนำไปประยุกต์ใช้ตามบริบท ดังนั้น การพัฒนาครูหนึ่งคน จึงเปรียบได้กับการสร้างนักพัฒนาชุมชนไปด้วย

อุดม ระบุว่า การบูรณาการทำงานทั้งโรงเรียนตามแนวทาง 4+6 โมเดลได้พิสูจน์ผลสำเร็จแล้วในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนงานคุณธรรมได้โดยไม่ติดเรื่องเชื้อชาติหรือศาสนา พร้อมชี้ว่า ปัจจุบัน หน่วยงานอย่างคุรุสภาและสถาบันครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ได้นำแนวคิดนี้เข้าสู่การเรียนการสอนแล้ว รวมถึงมีการพัฒนาระบบประเมินครูให้สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าวมากขึ้น

การพัฒนาตาม 4+6 โมเดล ประกอบไปด้วยแนวคิด 4 หลักการ คือ 1) ทำทั้งโรงเรียน 2) ทำแบบ Bottom Up 3) ทำอย่างมีส่วนร่วม และ 4) ทำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งมีผู้นิเทศจากโครงการลงพื้นที่ติดตามเทอมละ 1 ครั้ง เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลจริงและต่อเนื่องและ ยังประกอบด้วย 6 ขั้นตอนสำคัญ ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ การสร้างครูและนักเรียนแกนนำ การกำหนดเป้าหมายด้านคุณธรรมของโรงเรียน ไปจนถึงการกำหนดวิธีการปฏิบัติ ลงมือทำจริง และสร้างกลไกขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน กระบวนการเหล่านี้ช่วยให้นักเรียนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดี ลดปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ และสร้างอุปนิสัยที่ดีงามพร้อมเติบโตเป็นพลเมืองที่สร้างสรรค์สังคมต่อไป

ครูรัก(ษ์)ถิ่น: ให้ครูกลับไปพัฒนาบ้านเกิด

จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกร่วมกับข้อมูลจาก สพฐ. พบว่าไทยมีโรงเรียนกว่า 2,000 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น พื้นที่สูง ชายขอบ เกาะแก่ง หรือเขตเสี่ยงภัย ซึ่งไม่สามารถควบรวมได้และต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องเพื่อคงโอกาสทางการศึกษาไว้ให้เด็กในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม โรงเรียนเหล่านี้ประสบปัญหาครูขอย้ายบ่อยเพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ ทำให้ขาดแคลนครูโดยเฉพาะระดับประถมศึกษา นำไปสู่การพัฒนาโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เพื่อผลิตครูท้องถิ่นให้กลับไปทำงานในโรงเรียนบ้านเกิด

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นมุ่งสร้างโอกาสให้นักเรียนยากจนในพื้นที่ห่างไกลที่มีผลการเรียนดีและมีจิตวิญญาณความเป็นครู ได้รับทุนเรียนครูจนจบปริญญาตรีปีละราว 300 คน รวม 5 รุ่น หรือ 1,500 คน ก่อนบรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนขนาดเล็กกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ ภายใน 10 ปีอัตราครูในโรงเรียนห่างไกลจะเพียงพอมากขึ้น พร้อมยกระดับโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษา และสร้างเครือข่ายพัฒนาวิชาชีพครูให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่อย่างยั่งยืน

ในปี 2568 เป็นการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นระยะที่ 2 ให้เกิดความต่อเนื่องสู่รุ่นที่ 6 ในปีการศึกษา 2569 จากความร่วมมือระหว่าง กสศ. และหน่วยงานหลักด้านการศึกษาของประเทศ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นต้น เพื่อยกระดับระบบการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร แก้ปัญหาครูขาดแคลนและโยกย้ายบ่อย พร้อมกับสร้างครูรุ่นใหม่กลับไปพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่บ้านเกิด

สุวิมล เอกพันธ์ ครูแกนนำโรงเรียนบ้านลาดกะเฌอ ระบุว่าโรงเรียนขยายโอกาสแห่งนี้ต้องดูแลเด็กจากครอบครัวที่มีความไม่มั่นคงทางอาชีพ ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งมีความเหลื่อมล้ำด้านการดูแลและพฤติกรรมพื้นฐาน เธอย้ำว่าครูไม่อาจสอนเพียงวิชาการ แต่ต้องเป็นแบบอย่างด้านวินัย คุณธรรม และทักษะชีวิตให้เด็กเห็นจริง การอยู่กับเด็กและให้เวลากับพวกเขาสำคัญมาก ๆ ภายใต้สังคมที่เปราะบาง พร้อมชี้ว่าความเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากครู ก่อนส่งต่อไปยังนักเรียน

โรงเรียนจึงนำ 4+6 โมเดล มาใช้เป็นระบบพัฒนาคุณธรรม โดยครูจะเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านความรับผิดชอบ เช่น ส่งงานตรงเวลา ตรวจงานสม่ำเสมอ และปรับการสอนเป็น Active Learning เพื่อให้เด็กกล้าแสดงออกมากขึ้น กระบวนการเริ่มจากการประชุมหาสาเหตุปัญหา จัดอบรมเทคนิคใหม่ แล้วสรุปบทเรียนเพื่อนำไปปรับปรุงต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ครูสามารถปฏิบัติงานได้ตรงเวลา และนักเรียนรู้สึกว่าตนมีตัวตนเพราะได้รับการติดตามรายบุคคล

สุวิมลย้ำว่า ความสำเร็จเกิดจากการร่วมมือของทั้งครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และชุมชน โดยปีแรกของการใช้ 4+6 โมเดล โรงเรียนสามารถพัฒนาคุณธรรมอัตลักษณ์ด้านวินัย ความพอเพียง และความรับผิดชอบได้ชัดเจน ปีต่อไปโรงเรียนตั้งเป้าขยายผลจากโรงเรียนสู่บ้านและชุมชน เมื่อครูเปลี่ยน นักเรียนก็เปลี่ยน และเมื่อเด็กเปลี่ยน อนาคตของเขาก็เปลี่ยนได้

“เราถามตัวเองเสมอว่า จะสอนให้นักเรียนมีความรับผิดชอบได้อย่างไร ถ้าเรายังส่งงานช้าอยู่ หรือจะให้เขาเปิดรับความรู้ใหม่ได้อย่างไร ถ้าครูยังสอนแบบเดิม ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คณะครูของเราต้องเปลี่ยน เมื่อเขาเห็นตัวอย่างที่ดี เขาก็จะเติบโตและพัฒนาได้จริงค่ะ”

สุวิมล เอกพันธ์

ทินกร ประเสริฐหล้า ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองครองราษฎร์ประสงค์ ชี้ว่าแนวคิด 4+6 โมเดลได้ตอบคำถามสำคัญของเขาว่า โรงเรียนควรทำหน้าที่เพียงสร้างความรู้หรือสร้างความเป็นมนุษย์ให้กับผู้เรียน ซึ่งโมเดลนี้ช่วยให้โรงเรียนปรับระบบใหม่ โดยให้นักเรียน ครู และผู้บริหารร่วมกันแก้ปัญหาจากฐานจริง ลดภาระครู และทำให้ความรับผิดชอบของเด็กเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่จากการสั่งการของผู้ใหญ่แบบบนลงล่าง

ผู้อำนวยการระบุว่า หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน คือการทำงานแบบมีส่วนร่วมตั้งแต่ในโรงเรียนจนถึงชุมชน โดยผู้นำท้องถิ่น กรรมการสถานศึกษา และครอบครัวเข้ามาเป็น ‘ผู้จัดการเรียนรู้’ ทำให้คุณธรรมกลายเป็นวัฒนธรรม ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะช่วงเวลา โรงเรียนจึงขยายผลสู่ครอบครัวคุณธรรมในหมู่บ้าน และวางเป้าหมายให้ชุมชนร่วมเป็นฐานประกอบสร้างพฤติกรรมที่ดีของเด็กอย่างต่อเนื่อง

ทินกรย้ำว่าเมื่อโรงเรียนและชุมชนขับเคลื่อนร่วมกัน เด็กจะพัฒนาได้ทั้งด้านความรู้และคุณธรรม ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด และทำให้คุณธรรมกลายเป็นรากฐานการพัฒนาชุมชนและประเทศ เขาระบุว่าโรงเรียนจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่เรียนหนังสืออีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่สร้างความเป็นมนุษย์ที่ต้องได้รับแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของชุมชนอย่างสม่ำเสมอ

โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ที่สร้างมนุษย์ และโรงเรียนเป็นจุดย่อยที่จะวางรากฐานของสังคม ไม่ว่าจะรากฐานของชุมชน คุณธรรมที่คุณครูทุกท่านกำลังทำอยู่ มันจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศขึ้นไป

ทินกร ประเสริฐหล้า

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active