กสศ. เผย ปี 67 พาเด็กกลับเข้าระบบการศึกษาได้ 3.04 แสนคน ย้ำโจทย์ใหญ่ เน้นลงทุนเด็กเล็ก ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อน ก่อนเด็กเรียนเก่ง ส่งเสริมการศึกษาตั้งแต่ต้นน้ำ
วันนี้ (6 ก.พ. 68) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 และแนวทางสำคัญในปี 2568 ในงาน “Equity Forum 2025: ประเทศไทยกับการแก้ปัญหาเชิงระบบเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” โดยมีฝ่ายนโยบาย นักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ผู้นำท้องถิ่น นักวิชาการ และนิสิตนักศึกษาเข้าร่วม
เด็กยากจนเพียง 13% มีโอกาสศึกษาต่อในอุดมศึกษา
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 3 เท่า
ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. ระบุว่า ปีการศึกษา 2567 ประเทศไทยมีเด็กในช่วงวัยเรียน (3-14 ปี) ประมาณ 8.5 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ มีนักเรียนกว่า 3 ล้านคนอยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน และ 1.34 ล้านคนเป็นนักเรียนยากจนพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นราธิวาส และเกาะกลุ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แม้ว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,133 บาทต่อเดือน (วันละ 37 บาท) จาก 1,039 บาทในปี 2566 (วันละ 34 บาท) แต่ยังพบว่ามีนักเรียนยากจนพิเศษมากถึง 38.77% ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานในเมือง กลายเป็นครอบครัวแหว่งกลาง ขาดสายสัมพันธ์ นอกจากนี้ ครัวเรือนเหล่านี้ยังเผชิญปัญหาสมาชิกที่เป็นผู้สูงอายุสูงถึง 44.43% ว่างงาน 27.3% และมีภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง 12.41% สะท้อนถึงความเปราะบางอย่างยิ่ง
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กยากจนพิเศษกว่า 1.3 ล้านคนหลุดออกจากระบบการศึกษา กสศ. จึงได้ดำเนินโครงการ “ทุนเสมอภาค” (Conditional Cash Transfer) ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี พร้อมติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้อัตราการคงอยู่ในระบบการศึกษาอยู่ที่ 97.88%
อย่างไรก็ตาม ยังพบช่องว่างสำคัญในการศึกษาต่อของเด็กกลุ่มนี้ โดยในปี 2567 มีนักเรียนยากจนเพียง 13.49% หรือประมาณ 22,345 คน ที่สามารถเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 3 เท่า อีกทั้งยังมีเด็กจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนอีก 1.1 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
ปี 67 พาเด็กกลับเข้าระบบได้ 3.04 แสนคน
แต่มีเด็กนอกระบบกลุ่มใหม่เพิ่มอีก 3.94 แสนคน
จากการเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย ในปี 2567 พบว่า มีเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปี จำนวน 982,304 คนที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา แม้ว่าจะมีการนำเด็กเยาวชนกว่า 304,082 คนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ในปีที่ผ่านมา แต่ยังมีเด็กนอกระบบที่ตกค้างจากปี 2566 จำนวน 590,557 คน และเด็กนอกระบบกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 391,747 คน โดยในจำนวนนี้ 387,591 คนอยู่ในวัยการศึกษาภาคบังคับ
ดั้นนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษา กสศ. ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
- สร้างระบบหลักประกันโอกาสการศึกษาตลอด 20 ปี โดยบูรณาการข้อมูลเด็กจาก 11 หน่วยงาน เพื่อให้เด็กจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสุด 3 ล้านคน และเด็กนอกระบบ 9 แสนคนได้รับการสนับสนุนด้านสุขภาวะ การศึกษา และแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ยกระดับบัตรประชาชนให้เป็น “Learning Passport” เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย พร้อมถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างระบบการศึกษา และรับเงินอุดหนุนจากรัฐโดยตรง
“การลงทุนในการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่สุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงแค่ลดสัดส่วนของเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดรวมถึงลดสัดส่วนของเด็กที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐานลงเพียง 10% เราจะสามารถเพิ่ม GDP แต่ละปีได้ถึง 1 – 2%”
ไกรยส ภัทราวาท
ถึงเวลาช่วยเหลือ ‘เด็กเรียนอ่อน’ มากกว่าเฝ้าถามหาแต่ ‘เด็กเรียนเก่ง’
ขณะที่ รศ.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) ย้ำว่า ความเหลื่อมล้ำในการศึกษาไม่ได้เริ่มต้นในช่วงมัธยมศึกษา แต่เกิดขึ้นและสะสมตั้งแต่ระดับปฐมวัย โดยผลการประเมินของโครงการ PISA for Schools ในสถานศึกษา 150 แห่ง จาก 16 จังหวัด พบว่าเด็กกว่า 57% มีคะแนนข้อสอบ PISA ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ (สมรรถนะระดับที่ 1)

“ประเทศไทยเรามีเด็กสมรรถนะ PISA อยู่ในระดับที่ 1 จำนวนมาก เราจำเป็นต้องคุยถึงเรื่องเด็กระดับที่ 1 ให้มาก มากกว่าการคุยว่าเรามีเด็กเก่งระดับที่ 5 – 6 มากแค่ไหน เด็กกลุ่มนี้ (เลเวล 1) ต้องการการช่วยเหลือ หาทรัพยากรลงไปที่เขา ถ้าเราพัฒนาจุดนี้ได้ เราก็จะพัฒนาไปทั้งประเทศได้ เพราะพวกเขาคือคนสวนใหญ่ในประเทศนี้”
รศ.วีระชาติ กิเลนทอง
นอกจากนี้ ยังมีข้อค้นพบที่สำคัญคือ นักเรียนที่มีระดับคะแนนผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในระดับชั้น ป.6 ที่ดี จะมีแนวโน้มที่จะมีคะแนนสมรรถนะของ PISA สูงเช่นเดียวกัน ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำในผลลัพธ์การเรียนรู้ที่พบจากผลการทดสอบ PISA ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่แท้จริงแล้ว เป็นเสมือนการขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาหรือระดับปฐมวัย ดังนั้นการส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีคะแนน PISA ที่ดีขึ้นในอนาคต จึงควรเริ่มต้นจากการลงทุนทรัพยากรลงในเด็กประถมฯ และเด็กเล็ก
รศ.วีระชาติ ให้ข้อเสนอทางนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ โดยมีจุดเน้นดังนี้
- ยกระดับคุณภาพการศึกษาปฐมวันและประถมศึกษา
- ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมรรถนะของนักเรียนที่มี Competency Level 1 ซึ่งเป็นกลุ่มส่วนใหญ่ของประเทศ
- ควรเพิ่มแบบสอบถามใน O-NET คล้าย PISA เพื่อทำความเข้าใจถึงปัจจัยแวดล้อมของผู้เรียน
- ควรเชื่อมโยงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งอาจช่วยตอบว่า PISA หรือ O-NET จะพยากรณ์ความสำเร็จในการทำงานและการดำรงชีวิตได้กว่ากัน?