มอง AI บนความท้าทายใหม่ เชื่อ มนุษย์ยังมีคุณค่า ไม่มีใครเชื่อใจ ไปกว่ามนุษย์ด้วยกัน

Soul Connect Fest 2025 ชวนตั้งถำถามถึงการปรับตัว อยู่ร่วม และใช้งาน AI อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะการมองไปถึงคุณค่าของชีวิต การทำงาน ลงลึกสู่ระดับจิตวิญญาณ

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 68 ภายในวงเสวนา ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ (AI & Humanity: Towards Truth & Peace resolution)

แม้โลกเราจะเดินทางผ่านมาหลายยุคสมัย ทั้งยุคที่คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนที่เครื่องพิมพ์ดีด ก้าวเข้าสู่การมีอินเทอร์เน็ตแต่คนไม่รู้จะใช้อย่างไร จนกระทั่งการมีโซเชียลมีเดีย และตอนนี้คือยุค AI โดยสมบูรณ์แบบ

รณพงศ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มายด์ เอไอ เซาท์อีสเอเซีย จำกัด ย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงในองค์กรที่ AI อาจเข้ามาแทนที่พนักงาน แต่อย่างไร ก็เชื่อว่าแทนได้บางส่วนเท่านั้น

“สมัยก่อน ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าหุ่นยนต์จะมาแทนที่พนักงานโรงงานได้ แค่จับน๊อตยังทำไม่ได้เลย แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว”

“ต่อให้ AI มาแทนพนักงานบัญชี 10 คน แต่ต้องมีพนังงานเหลืออย่างน้อย 1 คน ที่คอยตรวจสอบการทำงานของ AI งานบางอย่างถูกแทนที่ด้วย AI ได้ก็จริง แต่เราเชื่อว่าบางอย่างก็ทำไม่ได้

รณพงศ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มายด์ เอไอ เซาท์อีสเอเซีย จำกัด

รณพงศ์ ยังย้ำว่า AI ไม่ได้มีชีวิต ไม่ได้มีจิตวิญญาณ ไม่ได้มีสำนึกดีชั่วเหมือนคน ดังนั้นมนุษย์จึงต้องพัฒนาตัวเอง เพื่อเพิ่มคุณค่าท่ามกลางที่สถานการณ์ AI กลายเป็นเรื่องน่าวิตกกังวลว่าจะทำให้คนตกงานหรือไม่

สำหรับสถานการณ์ AI ในประเทศไทย รณพงศ์ บอกว่า ไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกเรื่องความรู้และการใช้ AI เพราะนิสัยคนไทยชอบทดลองอะไรใหม่ ๆ เหมือนอย่างเทรนด์ใส่เสื้อผีเสื้อที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้เห็นว่าคนไทยก็กล้าใช้ AI ทำตามกันทั้งประเทศ

ข่าวดีคือตอนนี้มีบริษัทสัญชาติไทยที่กำลังพัฒนาด้าน AI หลายร้อยแห่ง และทำได้ดี แต่ข้อกังวลคือ ยังไม่มีจุดแข็งหรือความแตกต่างมากนัก และเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทุนและเวลาในการพัฒนาต่อไปไม่น้อยกว่า 20 ปี

สุวิตา จรัญวงศ์ CEO & Co-Founder Tellscore เห็นพ้องว่า แม้การใช้ AI ทำงานจะมีต้นทุนถูกกว่ามนุษย์ก็จริง แต่ก็มีหลายสิ่งที่ทดแทนความเป็นคนไม่ได้

“สิ่งที่ AI ทำไม่ได้ คือ การให้ความหวัง ทางเศรษฐศาสตร์เราให้ความหวังคนด้วยการทำให้เขาเห็นเงิน แต่ในมิติการใช้ชีวิตของมนุษย์ คนจะมีความหวังจะอยู่ในโลกใบนี้เมื่อมีชีวิตที่ปลอดภัย และรู้สึกสิ้นหวังเมื่อสภาพแวดล้อมบางอย่างพร่องไป”

สุวิตา จรัญวงศ์

สุวิตา จรัญวงศ์ CEO & Co-Founder Tellscore

สุวิตา เชื่อว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น แต่การจะสร้างความหวังให้ผู้คนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขคือมนุษย์ด้วยกันเอง การผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพหรือเป็น “น้ำดี” จะสร้างความหวังให้กับสังคม

กำเนิด digital missionary – การปรับตัวของศาสนจักร

สอดคล้องกับ บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย ที่เชื่อว่า AI ไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ แต่มนุษย์ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่ศาสนจักรกำลังทำอยู่เช่นกัน

“การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ป็นนิรันดร์ แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรแทนกันได้ เหมือนเราส่งอีเมลหากันได้ แต่คนยังชอบส่งโปสการ์ด หรือเหมือนการมีอีบุ๊ค แต่ยังมีคนชอบจับหนังสือ”

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า อิทธิพลของ AI เข้าแทรกซึมทุกมิติในโลกไปแล้ว มนุษย์กำลังอยู่ด้วยจิตวิญญาณแบบใด ยังคงเป็นคำถามที่ท้าทางศาสนจักรเช่นกัน

เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2567 เนื่องในวันสื่อมวลชนสากล สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ออกสาส์นฉบับหนึ่ง ชื่อว่า “ปัญญาประดิษฐ์และปรีชาญาณแห่งหัวใจ มุ่งไปสู่การสื่อสารของมวลมนุษย์อย่างสมบูรณ์” โดยมีเนื้อหาสำคัญที่กล่าวถึงการใช้ AI ในการช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ และบอกว่า แม้ว่าจะทำให้รับส่งข้อมูลกันได้รวดเร็วสะดวกสบายแค่ไหน แต่ก็มีความเสี่ยงต่อมนุษชาติ จึงควรใช้สิ่งนี้ในการสร้างสันติสุขด้วย

บาทหลวงอนุชา อธิบายว่า ข้อกังวลของพระสันตะปาปาฟรานซิส คือ ศาสนจักรต้องใช้ AI อย่างมีคุณธรรมและสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และตอนนี้ในศาสนาคริสต์มีการบัญญัตศัพท์ใหม่ คือ Digital missionary ถือเป็นการแสดงออกถึงการปรับตัวตามยุคสมัยอย่างเป็นรูปธรรม

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย

“เมื่อก่อนเราเห็นมิชชันนารีเดินทางมาเผยแพร่คำสอนในไทย แต่ตอนนี้ โซเชียล มีเดียทำหน้าที่นั้นแทน สำคัญคือ Digital missionary ต้องเผยแพร่สิ่งดีงาม และไม่ทำให้ศาสนาแยกส่วนกับคนรุ่นใหม่ ศาสนาคริสต์ออกเอกสารหนึ่งที่บอกว่า คาทอลิกทุกคนต้องเป็นอินฟลูเอนเซอร์ แต่ไม่ได้หมายถึงยอดคนดู แต่หมายถึงต้องเผยแพร่คุณคงามความดีและช่วยบอกเล่า ข่าวดี ต่างหาก”

บาทหลวงอนุชา อธิบายถึงแนวคิดปัจจุบันของศาสนจักรที่เน้นการปรับตัวโอบรับ มากกว่าการหลีกหนีและแยกส่วนกับโลกสมัยใหม่

AI แทนนักข่าวไม่ได้ : ทีมข่าวภาคสนามคือทรัพยากรที่ต้องลงทุน

ขณะที่ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ ร่วมแชร์ประสบการณ์ในการทำงานว่า เทคโนโลยีทำให้การทำงานข่าวง่ายขึ้นมาก หรือการใช้ AI จะช่วยหาข้อมูล เรียบเรียงให้ได้รวดเร็วขึ้น แต่เชื่อว่าการที่มนุษย์จริง ๆ ที่ยืนอยู่ในสถานที่จริง และรายงานสิ่งที่ตนเองเห็นด้วยตามาให้ผู้ชม ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นการรายงานข้อเท็จจริงด้วยความจริงแท้ น่าเชื่อถือ และซื่อสัตย์กับผู้ชม

“เทคโนโลยีทำให้เราทำงานได้มากขึ้น รายงานข่าวได้รวดเร็ว แม่นยำมากขึ้นก็จริง  แต่นักข่าว AI ก็ไม่สามารถไปยืนรายงานข่าวที่แม่สอด สัมภาษณ์เหยื่อ หรือเล่าสิ่งที่ตาของเราเห็นในสถานการณ์ตรงนั้นจริง ๆ ออกมาไม่ได้เหมือนมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่ทดแทนกันไม่ได้”

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ

ฐปณีย์ ย้ำว่า แม้ตอนนี้ทุกสำนักข่าวจะมีการลดต้นทุนโดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยในการรายงานข่าวง่ายขึ้นมากเพียงใด หรือกระทั่งการมีผู้ประกาศ AI  แต่การมีนักข่าวที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ลงไปยืนอยู่ที่ภาคสนาม สัมภาษณ์เหยือผู้ถูกกระทำในพื้นที่จริงยังคงเป็นสิ่งที่คนดูอยากเห็น และทีมข่าวเหล่านี้ล้วนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า

“แม้ AI จะช่วยหาข้อมูล เขียนข่าวได้ แต่ในสถานการณ์จริง ยังจำเป็นต้องมีมนุษย์จริง ๆ อยู่ในสนาม ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวภาคสนาม ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพ หรือทีมงานเบื้องหลัง พวกเขาคือต้นทุนสำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุน เราอยากให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขามีคุณค่ามากกว่า AI เสียอีก”

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

สำหรับ วงเสวนา ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ (AI & Humanity: Towards Truth & Peace resolution) จัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) (COFACT Thailand) ร่วมกับ สสส. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 และการประชุมวิชาการระดับชาติเครือข่ายความรู้สุขภาวะทางปัญญา ครั้งที่ 2 หัวข้อ สุขภาวะทางปัญญา’68 : จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ ความหวัง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active