“แนวหน้าไร้ค่าตอบแทน” เปิดใจ ชรบ.บ้านทุ่งสมเด็จ ในวันที่ชายแดนยังไม่สงบ

กระสุนปืนใหญ่ ตกลงในหมู่บ้าน และพื้นที่ใกล้เคียง ชาวบ้านต้องละทิ้งบ้าน ทิ้งนา ทิ้งควาย…แล้วใคร ? คือ คนที่อยู่เฝ้าผืนแผ่นดินในยามวิกฤต

สถานการณ์ที่ยังอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ลากยาวมานานนับเดือน กระทบชีวิตของผู้คนในพื้นที่ชายแดนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ผู้คนหลายร้อยชีวิตต้องอพยพออกจากบ้านเกิด แต่กลับมี คนกลุ่มหนึ่ง ที่ยังคงยืนหยัดอยู่กลางไฟสงคราม นั่นคือ ชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน หรือ ชรบ. ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น แนวหน้าไร้ค่าตอบแทน ของความมั่นคง

หนึ่งในพื้นที่เสี่ยงที่ได้รับผลกระทบชัดเจน คือ หมู่บ้านทุ่งสมเด็จ ตำบลโดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ตั้งอยู่ห่างจากจุดปะทะบริเวณเนิน 745 และสามเหลี่ยมมรกตเพียง 10-15 กิโลเมตร แม้จะไม่ใช่จุดที่มีการปะทะโดยตรง แต่ก็อยู่ในพื้นที่สีแดง เป็นพื้นที่เปราะบางที่ต้องเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

ชรบ. กับภารกิจปกป้อง “สิ่งที่คนอื่นทิ้งไว้ชั่วคราว”

“ชาวบ้านอพยพไปหมด เหลือแค่พวกเรา… เราเฝ้าบ้านแทนพวกเขา”

คำพูดของ บุญทัน พรมโคตร ผู้ใหญ่บ้านบ้านทุ่งสมเด็จ สะท้อนภาพของความเสียสละที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ชรบ.ในหมู่บ้านประมาณ 30 นาย และอาสาสมัครอีกเกือบ 70 คน ยังคงทำหน้าที่ตรวจตรา สกัดคนแปลกหน้า ดูแลทรัพย์สินและ “อยู่เป็นเพื่อนบ้าน” ให้กับหมู่บ้านที่ว่างเปล่า

บุญทัน พรมโคตร ผู้ใหญ่บ้านบ้านทุ่งสมเด็จ ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

แม้จะไร้ค่าตอบแทน ไร้หลักประกันชีวิต ชรบ.ในพื้นที่ยังต้องรับมือกับการเฝ้าระวังภัยกลางคืน เสียงปืน เสียงระเบิด และความไม่แน่นอนในทุกวัน

“เรายิงสกัดบางครั้งเพื่อให้เขาไม่กล้าเข้ามาทำงานเต็มที่ แม้จะไม่โดน แต่ก็ต้องทำ”

บุญทัน พรมโคตร

นี่คือเสียงจากคนที่อยู่แนวหน้าเพราะต้องเฝ้าระวังป้องกันภัย

และพวกเขาก็ถือว่าอยู่แนวหลังในเวลาเดียวกัน เพราะ ชรบ.มักถูกลืมจากการจัดสรรทรัพยากรและการสนับสนุน

ชุมชนต้องการอะไร ?
เมื่อรัฐยังไม่ชัดเจนว่าจะให้ “กลับบ้าน” ได้เมื่อไหร่ ?

หลังจากการอพยพออกจากพื้นที่มากว่า 10 วัน ชาวบ้านในศูนย์พักพิงเริ่มแสดงความต้องการที่จะกลับบ้าน แต่ในพื้นที่กลับยังไม่มีสัญญาณชัดเจนจากรัฐว่าจะปลอดภัยเพียงพอแล้วหรือไม่

“ชาวบ้านอยากกลับกันหมดแล้วครับ แต่ผมเองต้องเตือนว่าถ้ายังไม่ปลอดภัย กลับมาก็จะอันตรายกว่าเดิม เพราะถ้าปะทะรอบหน้า น่าจะรุนแรงกว่าครั้งนี้”

บุญทัน พรมโคตร

การประเมินสถานการณ์จากผู้ใหญ่บ้านทุ่งสมเด็จ สะท้อนความไม่มั่นใจที่มาจากประสบการณ์ตรงในพื้นที่ เขาย้ำว่า แม้จะมีการประชุม GBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่คาดหวังว่าผลเจรจาจะช่วยให้สถานการณ์ในพื้นที่ผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งชัดเจนจากผู้ว่าฯ หรือนายอำเภอ ให้ประชาชนสามารถกลับเข้าไปอยู่บ้านได้อย่างปลอดภัย

ความต้องการเร่งด่วน หลุมหลบภัย และการยกระดับ ชรบ.

ในบทสนทนาท้าย ๆ ผู้ใหญ่บ้านบุญทัน เสนอข้อเรียกร้องจากภาครัฐอย่างตรงไปตรงมา

“อยากให้เพิ่มบังเกอร์ หรือหลุมหลบภัยให้เพียงพอ เพราะเวลาระเบิดตก มันไม่บอกล่วงหน้า อย่างน้อยบ้านหนึ่งควรมี 2-3 จุด เพราะหมู่บ้านเรากระจายกว่า 900 ไร่ ถ้าไม่มีที่หลบ มันเสี่ยงมาก”

บุญทัน พรมโคตร

อีกประเด็นสำคัญคือ การขอให้รัฐ มองเห็น ความสำคัญของ ชรบ. ที่แม้จะไม่มีเครื่องแบบ ไม่มีสวัสดิการ และไม่มีหลักประกันใด แต่คือ กลไกภาคประชาชน ที่ทำหน้าที่แทนรัฐในยามฉุกเฉินได้ดีที่สุด

“อยากให้รัฐบาลช่วยดูแลเรื่องค่าป่วยการ หรือสวัสดิการบางอย่าง เพราะเวลาวิกฤต คนที่อยู่เคียงข้างพวกเรา คือ ชรบ. ไม่ใช่ใครอื่นเลย”

บุญทัน พรมโคตร

หากความขัดแย้งชายแดนยังยืดเยื้อ หากการปะทะยังไม่ยุติ และหากชาวบ้านต้องอพยพอีกครั้งในอนาคต คำถามสำคัญที่ควรถูกตั้งคือ “เราจะปล่อยให้ชุมชนชายแดนอยู่ในความเสี่ยงเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน ?”

ชรบ. ไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่กลุ่มจิตอาสา แต่ควรถูกยกระดับให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างความมั่นคงชุมชนอย่างเป็นระบบ มีการสนับสนุนจากรัฐ ไม่ใช่แค่ตอนเกิดเหตุเท่านั้น เพราะความมั่นคงของชาติ ไม่ได้เริ่มที่แนวรบ แต่เริ่มที่คนในหมู่บ้าน 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active