“ถ้าสื่อสร้างอคติได้
สื่อก็รื้อถอนอคติได้เช่นกัน”
เป็นมุมมองจาก ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ (อาจารย์ชิ) จากสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในฐานะชาวปกาเกอะญอ ผู้เปิดพื้นที่สื่อสารถึงความสำคัญของการลดอคติทางชาติพันธุ์

อาจารย์ชิ ยอมรับว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยมี พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว แต่กลับพบว่า อคติชาติพันธุ์ยังไม่หมดไปจากสังคมไทยได้ง่าย ๆ จึงมองว่าบทบาทของสื่อ จะมีส่วนสำคัญต่อการลดอคติชาติพันธุ์ลงได้
ความหวังกฎหมายชาติพันธุ์ แต่ยังไม่ง่ายที่จะลด ‘อคติ’
เวลานี้กลุ่มชาติพันธุ์เริ่มมีโอกาส มีพื้นที่แสดงออกถึงการมีตัวตนมากขึ้น ผู้คนเริ่มรับรู้และค่อย ๆ เปิดใจเข้ามารู้จักความเป็นพวกเขาในมิติความงดงามทางวัฒนธรรม และยอมรับว่าจริง ๆ แล้วสังคมไทยมีวัฒนธรรมหลากหลาย นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการร่วมกันรื้อถอนอคติ และความเข้าใจเดิม แล้วมาสร้างความเข้าใจใหม่ด้วยกันต่อจากนี้ แต่ก็มีสิ่งที่ต้องฝากไว้ให้คนทำงานสื่อสารและผู้คนในสังคมได้คิดต่อคือ อคติบางอย่างยังไม่มีทางหมดไปจากสังคมง่าย ๆ โดยเป็นเรื่องที่ต้องเน้นย้ำถึงความสำคัญเมื่อมีการสื่อสารประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ในห้วง 3 – 5 ปีต่อจากนี้เป็นอย่างน้อย
“นอกจากอคติเรื่องชาติพันธุ์ทำลายป่าแล้ว ผมคิดว่ามีอคติอีกเรื่องที่ พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ยังไปไม่ถึงก็คือ ชาติพันธุ์ไม่ใช่คนดั้งเดิมของประเทศนี้ แต่มาจากพื้นที่อื่น เป็นคนต่างด้าว เราจะยกดินแดน ยกผืนป่าให้คนกลุ่มนี้จริงหรือ ซึ่งยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังมีอคติแบบนี้ ไม่ได้มองว่าเขาเป็นเจ้าของประเทศร่วม เป็นประชาชน เป็นมนุษย์ที่ร่วมอาศัยบนผืนแผ่นดินเดียวกัน”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

ทำไม ? ‘อคติ’ ต่อชาติพันธุ์จึงยังเกิดขึ้น
อาจารย์ชิ อธิบายว่า อคติสามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 แนวทาง คือ การยัดเยียด และมาจากเศษเสี้ยวประสบการณ์
โดยการยัดเยียด เกิดจากผู้มีอำนาจต้องการครอบงำสังคม หรือกำลังปิดบังความจริงบางอย่าง จึงได้สร้างอคติเพื่อควบคุมสถานการณ์ทางสังคม เช่น สร้างมวลชน ชุดข้อมูล หรือชุดการรับรู้ โฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ เพื่อให้คนเชื่อแล้วเกิดอคติลดทอนคุณค่าหรือศักดิ์ศรีของกลุ่มคนเหล่านั้นไม่ให้มีพลังหรือไม่ให้มีตัวตนในสังคมได้
ขณะที่ การรับรู้ผ่านเศษเสี้ยวประสบการณ์ คือ เห็นสถานการณ์แล้วตีความไปเอง เช่น คนตัดต้นไม้ ตีความว่าเป็นการทำลายป่า แต่ไม่ค้นหาความจริงว่าตัดไปเพื่ออะไร หรือเห็นคนใส่ชุดซอมซ่อถูกตัดสินว่าสกปรก ล้าหลัง พูดไทยไม่ชัดก็ถูกมองว่าไม่ใช่คนไทย เป็นคนต่างด้าวต่างแดน แต่ไม่ถามว่าอยู่ที่นี่มานานหรือยัง
อาจารย์ชิ ย้ำว่า ผลกระทบทางสังคมจากแนวทางดังกล่าวไม่เพียงทำให้คนเชื่อว่าทั้งหมดคือความจริงที่สมบูรณ์โดยปราศจากคำถามหรือข้อสงสัย แต่ยังเกิดการถ่ายทอดและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งผลกระทบเหล่านี้เกิดจากสถาบันทางสังคมที่เปรียบดังพาหะ เช่น สถาบันครอบครัวหรือสถาบันการศึกษา มักจะสอนว่าต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เพราะพวกเขาอาบน้ำร้อน ผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างโชกโชนมาก่อน หรือสถาบันทางศาสนาที่สอนให้ต้องเชื่อในคำสอนโดยห้ามตั้งคำถาม ซึ่งอคติจะเกิดขึ้นหรือถูกรื้อถอนขึ้นอยู่กับทัศนคติของผู้นำทางสถาบันนั้น ๆ ด้วย
“ที่ผ่านมาเรายังขาดพื้นที่ ไม่มีเครื่องมือที่จะไปรื้อถอนอคติทางสังคมเหล่านี้ได้ แต่เมื่อถึงยุคที่เราเริ่มรู้จักสื่อและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากสื่อหลายช่องทาง เราจึงพบว่าสื่อเป็นทั้งเครื่องมือและพาหะที่นำไปสู่การสร้างอคติ แต่ในขณะเดียวกันสื่อก็สามารถถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือรื้อถอนการรับรู้เดิมแล้วสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับสังคมได้อีกด้วย”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

‘สื่อ’ กับบทบาทลดอคติทางชาติพันธุ์
ทั้งนี้จากสถานการณ์การสื่อสารประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ในปัจจุบัน พบว่า นอกจากจะมีสื่อที่ยังสร้างอคติ หรือความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว สื่ออีกส่วนหนึ่งเริ่มหันมาสนใจเรื่องราวกลุ่มชาติพันธุ์ และพยายามหาช่องทางเข้าถึงประเด็นความไม่เข้าใจเหล่านี้ที่เต็มไปด้วยอคติ เพื่อนำสิ่งที่พวกเขาต้องการจะสื่อสารมาบอกให้ประชาชนได้รับรู้และสร้างการรับรู้ต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในมิติความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม
“ที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นกระบวนการที่ชุมชนพาสื่อเข้ามาในพื้นที่ พาไปดูไร่หมุนเวียนแล้วให้ข้อมูลกลับไปสื่อสารให้คนเข้าใจและลดอคติลง ซึ่งกระบวนการแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้านข้อมูลข่าวสารมาก ๆ แต่อีกมุมหนึ่งเรานับได้เลยว่า สื่อที่เข้าใจเราจริง ๆ มีจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเข้าใจใหม่ต่อสังคมไทยได้อย่างครอบคลุม”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์
อาจารย์ชิ ยังระบุด้วยว่า โครงการพัฒนานักสื่อสารรุ่นใหม่เพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักประชากรกลุ่มเฉพาะ นับเราด้วยคน (สำนัก 9) สสส. ถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจที่ต้องการแก้ปัญหาทั้งคนสื่อสาร และรับสารอย่างเข้าใจที่ยังมีอยู่น้อย เพราะโครงการนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลิตชิ้นงานสื่อให้ได้หลากหลายรูปแบบ แต่ยังมุ่งเน้นที่จะผลิตนักสื่อสารเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ที่มีเลนส์เข้าใจอคติในมิติต่าง ๆ ที่สามารถสอดแทรก เชื่อมโยงความเข้าใจต่อเรื่องนี้จนเกิดการบอกต่อและกระจายตัวมากขึ้น
“โครงการนี้แตกต่างจากงานสื่อเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ทั่วไป เพราะเราไม่ได้ต้องการแค่สื่อ แต่ต้องการให้นักสื่อสารบอกต่อนักสื่อสารคนอื่น ๆ ซึ่งนอกจากเราจะเชิญชวนนักสื่อสารประเภทนักข่าวแล้ว เรายังชวนนักสื่อสารประเภทอินฟลูเอนเซอร์ บล็อกเกอร์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ซึ่งมีทั้งคนชาติพันธุ์ และไม่ใช่ชาติพันธุ์มาร่วมกระบวนการนี้ด้วย”
“การตั้งคำถามเปรียบเสมือนกับการเปิดหน้าต่างออกไปแล้วเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น ซึ่งพอเขาพบข้อสังเกตหรือรู้สึกเอ๊ะขึ้นมาว่านี่คืออคติหรือเปล่า เขาจะตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ การใส่กระบวนการเรียนรู้อคติเหมือนกับการติดเลนส์แว่นใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อถอนความเข้าใจเดิมและสร้างความเข้าใจใหม่”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

อาจารย์ชิ ยังบอกด้วยว่า เราควรได้รับรู้ว่าอคติได้ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมในสังคมไทยอย่างไร ถ้าวันนี้เราต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ความขัดแย้งต่าง ๆ เพื่อสร้างสังคมคนเท่ากัน จะเอาอคติเหล่านั้นออกไปอย่างไรบ้าง แล้วจะเปลี่ยนมุมมองใหม่อย่างไร ซึ่งอคติจะมีโอกาสลดลงได้ หากยังมีการร่วมกันขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มนักสื่อสารและคนทำงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นชาติพันธุ์ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาศักยภาพของคน
“การพัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง สถาบันสื่อของพี่น้องชาติพันธุ์ควรเข้ามาหนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้มากขึ้น เช่น กลไกการเฝ้าระวังอคติ หรือกระบวนการสื่อสารที่ไม่นำไปสู่การสร้างอคติ โดยเฉพาะข้อควรระวังในการสื่อสาร การใช้ภาษา และการเลือกภาพสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ ถ้าเรามองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปอาจกลายเป็นการผลิตซ้ำอคติหรือสร้างอคติใหม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว”
ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์
สำหรับ โครงการนักสื่อสารรุ่นใหม่เพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ ได้เกิดกระบวนการทำให้คนทำงานด้านสื่อชาติพันธุ์กับสื่อทั่วไปมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เกิดเครือข่ายนักสื่อสารใหม่ และกลไกการทำงานร่วมกันในอนาคต รวมทั้งเกิดพื้นที่เรียนรู้ต้นแบบนำร่องเพื่อสนับสนุนการบังคับใช้และให้ความรู้เรื่อง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์
นั่นเป็นที่มาของการชวนผู้คนในสังคมมาเรียนรู้ และรื้อถอนอคติร่วมกัน ผ่านกิจกรรม “เสียงเรา เข้าใจเรา เข้าใจกัน” : เทศกาลสื่อเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ ที่มีทั้งนิทรรศการ Showcase ผลงานจากนักสื่อสาร เวทีเสวนา พื้นที่แลกเปลี่ยนพูดคุย ศิลปะการแสดง กิจกรรม Workshop และบูธจำหน่ายอาหาร สินค้าและผลิตภัณฑ์จากกลุ่มชาติพันธุ์ ในวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 20.00 น. ณ สังกะดีสเปซ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่



- ข้อมูล-เนื้อหาเรียบเรียงมาจาก ตะลอนตะหลอด The Local Space
