ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาผิด ม.157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ขณะที่ “มึนอ” เศร้า ต่อสู้มานานแค่อยากรู้ว่าบิลลี่หายไปไหน ด้านทีมทนายเตรียมยื่นอุทธรณ์
วันนี้ (28 ก.ย. 2566) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ในฐานะผู้ช่วยทนายฝ่ายภรรยาของนายบิลลี่ กล่าวภายหลังการรับฟังคำพิพากษาคดีบิลลี่หายตัวไปว่า ทุกฝ่ายมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลได้พิจารณามาโดยทั้งหมดมี 5 ประเด็นเกี่ยวกับคำฟ้องของคดีนี้ ศาลสั่งลงโทษเพียงจำเลยที่ 1 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีที่จับกุมควบคุมตัว บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ พร้อมด้วยน้ำผึ้งป่าที่เป็นของต้องห้ามผิดกฎหมายแล้วไม่นำส่งพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายทั้งกฎหมายบ้านเมืองและกฎหมาย
พรเพ็ญ กล่าวอีกว่า จำเป็นต้องศึกษาคำสั่งของศาลโดยละเอียดอีกครั้งเนื่องจาก บิลลี่ ยังคงถือเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่รัฐทำให้สูญหายไปนั้บตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2557 ยังถือว่าเป็นการกระทำผิดทางกฎหมายทั้งกฎหมายอาญาปัจจุบันและกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ และทำให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัวและชุมชน
“ความรับผิดชอบนี้ย่อมกลับไปที่รัฐบาลและทุกฝ่ายที่จะต้องรับผิดชอบต่อชุมชนและครอบครัวของบิลลี่ ว่าจับกุมแล้วไม่นำส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ แล้วบิลลี่ไม่กลับมาสู่ครอบครัว จะต้องปรึกษาหารือกันต่อไป เบื้องต้นคิดว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล”
ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ขณะที่ พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของ บิลลี่ มีน้ำตาไหลอาบแก้มของเธออย่างต่อเนื่องขณะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยบอกกับนักข่าวสั้นว่า
“ที่ต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2557 อยากรู้แค่ว่าพี่บิลลี่หายไปไหน จนถึงวันนี้ ยังไม่มีคำตอบเลย ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปเชื่อได้“
มึนอ
เปิดคำพิพากษา
ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 166/65 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ, โจทก์ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจับกุมตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่ 6 (ด่านเขามะเร็ว ในความผิดฐานนำของป่า (น้ำผึ้ง) ออกจากเขตอุทยานแห่งชาติ
จำเลยทั้ง 4 ไม่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่ได้ควบคุมตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ พร้อมของกลางส่งสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเปรียบเทียบดำเนินการตามกฎหมาย แต่ควบคุมตัวนายพอละหรือบิลลี่่พร้อมของกลางไปยังสถานที่ใดไม่ปรากฏ โดยใช้อาวุธควบคุมตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ไว้ในรถยนต์กระบะเป็นการข่มขืนใจนายพอละหรือบิลลี่ให้ต้องยอมไปกับจำเลยทั้งสี่ ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินและอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ เป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง นายพอละจีหรือบิลี่่ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
ต่อมาจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันฆ่านายพอละจีหรือบิลลี่ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะจำเลยที่ 1 มีเหตุขัดแย้งและมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายพอละจีหรือบิลลี่มาก่อนเป็นเหตุให้นายพอละจีหรือบิลลี่ถึงแก่ความตาย
จากนั้นจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันเผาทำลายศพนายพอละจีหรือบิลลี่แล้วเก็บ ชิ้นส่วนศพที่เหลือจากการเผาเศษเถ้าถ่านและที่เหลือใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร ไปทิ้งลงน้ำบริเวณสะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจาน เพื่อทำลายหลักฐานอำพรางคดีแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อน การชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น
เหตุเกิดที่ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และตำบลสองพี่น้อง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 , 91, 157, 289, 309, 310 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 – ทวิ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณาบุตรของนายพอละจีหรือบิลลี่ และมารดาของนายพอละจีหรือบิลลี่ขอเข้าเป็นโจทก์ก็ร่วมกับพนักงานอัยการ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยตามทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ไม่นำตัวนายพอละจีหรือบิลลี่พร้อมของกลางส่งให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พยานหลักฐานโจทก์ และโจทก์ร่วมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่นำตัวนายพอละหรือบิลลี่ พร้อมของกลางน้ำผึ้งส่งให้เจ้าหน้าที่ ที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 3 ไม่มีเจตนาพิเศษร่วมกระทำผิด จำเลยที่ 4 ไม่มีเจตนา สนับสนุนการกระทำผิด จึงไม่มีความผิ
ความผิดข้อหาร่วมกันข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังนายพอละจีหรือบิลลี่ ให้จำยอมโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยมีอาวุธเป็นเหตุให้นายพอละหรือบิลลี่ผู้ถูกเหนี่ยวกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพนั้นถึงแก่ความตาย
การพิจารณาพบว่าคำให้การและพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่มีพิรุธ หลายประการเช่น จุดที่อ้างว่าปล่อยตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ แต่ไม่มีพยานยืนยัน พยานจำเลยทั้งสี่ที่อ้างว่าเห็นนายพอละจีหรือบิลลี่ หลังจากได้รับการปล่อยตัวก็เบิกความกลับไปมาและไม่สอดคล้องกับเวลาที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงจุดปล่อยตัว มีน้ำหนักน้อย และเส้นทางที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าใช้เดินทางกลับไร่หลังปล่อยตัวนายพอละหรือบิลลี่ กล้องวงจรปิดในเส้นทางที่ต้องผ่านไม่พบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ขับผ่านแต่กลับไปพบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ใช้วิ่งไปด่านเขาสามยอดอีกเส้นทาง แต่จะนำเฉพาะ คำให้การของจำเลยทั้งสี่เป็นพิรุธมาลงโทษไม่ได้การพิสูจน์ความผิดต้องมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก มั่นคงมาพิสูจน์ว่ามีการกระทำผิดและจำเลยทั้งสี่เป็นผู้กระทำผิด
หลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีเพียงภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดที่ชี้ให้เห็นว่าคำให้การจำเลยทั้งสี่มีพิรุธ แต่ภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิด ในเส้นทางไปด่านเขาสามยอดไม่ชัดเจนพอที่จะยืนยันการกระทำผิด ประกอบไม่มีหลักฐานทั้งพยาน บุคคล วัตถุพยาน หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสี่พานายพอละจีไปด่านเขาสามยอด ตามที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตั้งประเด็นหรือไปยังสถานที่ใด พยานจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟัง ว่ามีการกระทำผิดโดยจำเลยทั้งสี่ ความผิดข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจีหรือบิลลี่โดยไตร่ตรอง
ผลการตรวจไมโทคอนเดรีย ดีเอ็นเอชิ้นส่วนกระดูก Tempora (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานที่พบใต้น้ำในเขื่อนแก่งกระจาน เป็นของบุคคลที่เป็นบุตรของนางโพเราะจีหรือเป็นหลานของนางนอกะเตมารดานางโพเราะจี เนื่องจากสารพันธุกรรมในไมโทคอนเดรียเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร แต่ไม่ สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด ส่วนการวิเคราะห์กระดูกวัตถุพยาน พบว่าเป็นของบุคคลอายุ 20 ปี ขึ้นไป ไม่สามารถบอกเพศ ความสูงและเชื้อชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคลได้ การนำแผนผังเครือญาติมาใช้ประกอบผลการตรวจหาดีเอ็นเอแบบไมโทคอนเดรีย
คดีนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นการจำกัดวงอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้และไม่มีแพทย์หรือผู้ตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันผลได้ว่าชิ้นส่วนกระดูกวัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ จึงฟังไม่ได้แน่ชัดว่ากระดูกTempora (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่มีผลให้ฟังไม่ได้ว่านายพอละจีหรือบิลลี่ถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ความผิดข้อหาร่วมกันเผาทำลายศพนายพอละหรือบิลลี่และเก็บชิ้นส่วนศพที่เหลือจากการเผา เศษเถ้าถ่านและเศษสิ่งของอื่น ๆ ที่เหลือบรรจุใส่ลังน้ำมัน 200 ลิตร ไปทิ้งใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เชื่อนแก่งกระจาน เพื่อทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของตน เพื่ออำพรางคดีแก่ศพหรือ สภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่ากระดูก Temporal (กระดูกขมับ) ข้างซ้ายวัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ ประกอบกับโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใกล้ชิด หรือเชื่อมโยงได้ว่าจำเลยทั้งสี่นำถังน้ำมันของกลางไป ทิ้งในเขื่อน จึงไม่มีพยานรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่เช่นกัน
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 (เดิม) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 127/1 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำทำที่เดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องจำเลย ที่ 3 และที่ 4 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาจำนวน 14 นัด รวมระยะเวลานับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 4 กันยายน 2565) ถึงวันอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี 23 วัน
ล่าสุด ศาลพิจารณาอนุญาตให้ประกัน ชัยวัฒน์แล้ว ด้วยหลักทรัพย์ 800,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร