วันแห่งความรัก…’เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ’ หวัง สส. – สว. เข้าประชุมพร้อมหน้า พิสูจน์ความจริงใจต่อประชาชน รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกข้อเสนอ เปิดโอกาสการมีส่วนร่วมจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
ภายหลังที่ประชุมร่วมรัฐสภาองค์ประชุมไม่ครบ จนทำสภาล่มในวาระพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ทำให้ญัตติแก้รัฐธรรมนูญสะดุดลงตั้งแต่วันแรกของการพิจารณา (13 ก.พ. 68) สร้างความผิดหวังให้กับภาคประชาชนในนาม เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ (Conforall) ที่จัดกิจกรรมด้านหน้ารัฐสภา ที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวพร้อมสื่อสารต่อสังคม ว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นเรื่องกล้วย ๆ ถ้าได้รับความร่วมมือจาก สว.
จนนำไปสู่แถลงการณ์ ระบุถึง การแก้รัฐธรรมนูญ รัฐสภาต้องแสดงความจริงใจ หยุดอ้างคำวินิจฉัย “ถ่วงเวลา” รีบเดินหน้าลงมติแก้รัฐธรรมนูญ เปิดทางเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมย้ำว่า เส้นทางการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ถูกผู้มีอำนาจการเมือง “เตะถ่วง” หลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2563 – 2564 ที่ สว. แต่งตั้ง จับมือกับ สส. พรรคพลังประชารัฐ ส่งเรื่องไปยัง ยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถามว่า รัฐสภามีอำนาจหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ว่าต้องทำประชามติ “ก่อน” จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นเหตุให้ สว. อ้างโหวตคว่ำร่างแก้รัฐธรรมนูญ
ในแถลงการณ์ ยังระบุว่า หลังเปลี่ยนรัฐบาลนำโดย พรรคเพื่อไทย กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยัง “พายเรืออยู่ในอ่าง” ติดกับดัก สว. แต่งตั้ง วางโรดแมปประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่จำเป็น แต่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ก็เริ่มจะมีความหวังอยู่บ้าง เมื่อวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 มีร่างแก้รัฐธรรมนูญ 2 ฉบับที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา มีสาระสำคัญตรงกัน คือ ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 200 คน จากการเลือกตั้ง มาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับแทนที่รัฐธรรมนูญ 2560
อย่างไรก็ดี วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เสียงข้างมากในรัฐสภาสร้างความ “น่าผิดหวัง” อีกครั้ง เพราะ สส. พรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่แสดงตนก่อนจะเข้าสู่การพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้ “สภาล่ม” ยังไม่ได้เริ่มถกเถียงสู่เนื้อหาว่าจะเห็นด้วยให้มี สสร. มาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่

ดังนั้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 จึงมีนัดพิจารณาต่อ พวกเราเครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ มีความเห็นและข้อเสนอต่อสมาชิกรัฐสภา ดังนี้
- สว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และ สส. พรรคภูมิใจไทย ต้อง “หยุดอ้าง” คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เพื่อเตะถ่วงการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดเจนแล้วว่า รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ การทำประชามติตลอดกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ทำแค่สองครั้ง คือ “ก่อน” จัดทำรัฐธรรมนูญ และหลัง สสร. จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว
ไม่มีกฎหมายที่บังคับให้รัฐสภาต้องทำประชามติก่อนเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยุติแล้ว เมื่อต้นปี 2567 สส. ได้ส่งเรื่องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ ศาลตอบกลับมาว่า วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจรัฐสภา ทำได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ - สส. และ สว. ต้อง “แสดงความจริงใจ” ว่าพร้อมผลักดันให้ก้าวแรกของกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น ด้วยการเข้าประชุมรัฐสภา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีนโยบายจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และเป็นผู้เสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญเข้ารัฐสภา ต้องเจรจาและรวบรวม สส. พรรคร่วมรัฐบาล ให้เข้าประชุมพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญอย่างพร้อมเพรียง ให้องค์ประชุมครบและไม่เกิดเหตุการณ์ “สภาล่ม” ซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้คำสัญญาของพรรคเพื่อไทยที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ขยับไปข้างหน้า - สส. และ สว. ควรใช้อำนาจในฐานะผู้แทนปวงชน ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็น “เรื่องกล้วย ๆ” แค่ฟังเสียงประชาชน “รับหลักการ” ร่างแก้รัฐธรรมนูญทุกข้อเสนอ เปิดทางให้มีองค์กรมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้
การพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นเพียง “ก้าวแรก” ของกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น ประเด็นที่มีข้อถกเถียง เห็นต่าง สามารถถกเถียงกันต่อไปได้ในชั้นกรรมาธิการ แต่หากรัฐสภาไม่รับหลักการแต่แรก ก้าวแรกนี้อาจไม่ได้เริ่มเลย
สว. เป็นตัวแปรสำคัญว่าก้าวแรกนี้จะเริ่มขึ้นได้หรือไม่ได้ เราหวังว่า สว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน จะคำนึงถึงประชาชน และหวังว่าจะได้ยินเสียง สว. ขานว่า “รับหลักการ” เกินกว่า 67 คน
“ในวันแห่งความรักปีนี้ เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ จะยังคงจับตาประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิดที่หน้ารัฐสภา เวลา 10.00 น. หากรัฐสภา ยังเล่นเกมยื้อเวลาไม่เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ภาคประชาชนจะไปส่งเสียงกันต่อ ที่หอศิลป์ฯ กรุงเทพมหานคร ตอน 17.00 น.“
หรือจะหมดหวังแก้รัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย ?
ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) เปิดเผยกับ The Active ยอมรับว่า รู้สึกโมโหมาก ๆ เพราะประชาชนรอเวลานี้มานานมากนับตั้งแต่การเลือกตั้ง 2566 ขณะที่รัฐบาลชุดนี้บอกเองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนญเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย

กระทั่งวันที่เป็นวันพิจารณาวาระสำคัญเป็นครั้งแรกที่ สส. และ สว. ชุดใหม่ จะได้พิจารณาเรื่องของรัฐธรรมนูญ และคุยกันเรื่องการเลือกตั้ง สสร. เรื่องการแก้มาตรา 256 แต่สุดท้ายไม่สามารถที่จะพิจารณาอะไรได้ ในโอกาสสุดท้ายของการพิจารณาแก้ร่างรัฐธรรมนูญ ก็หวังจะเห็นความร่วมมือจากฝั่ง สส. และ สว.
“เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบประธานสภาเลยต้องปิดประชุมไป เราหวังว่าผู้แทนราษฎรทุกพรรคไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมติมันออกมาแล้วว่าไม่มีการเลื่อนญัติในการพิจารณา มาตรา 256 ในความเป็นจริงประชาชนก็รออยู่ สส. และ สว. ควรที่จะเข้าประชุม เพื่อให้องค์ประชุมครบและกระบวนการในสภาจะได้เดินหน้าต่อไปได้”
“คือถ้าไม่มีใครเข้าประชุม ไม่มีใครจริงจังที่จะพิจารณาเรื่องนี้ สุดท้ายเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจะได้แก้เมื่อไร ต้องรออีกนานแค่ไหน อันนี้คือสิ่งที่เรากังวล และถ้าหากว่าวันนี้ไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้อีก สุดท้ายเป็นการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกครั้งหนึ่ง เราคงหมดหวังที่จะเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย“
ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล
เลือกตั้ง สสร. 100%
ขอประชาชนเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ คุ้มครองสิทธิ์พวกเขาเอง
พชร คำชำนาญ ตัวแทนจากขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) บอกกับ The Active ว่า คาดหวังแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อย่าง พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะช่วยกันกำกับพรรคร่วมรัฐบาลให้เข้าประชุมอย่างพร้อมเพียงกัน จึงหวังว่าวันนี้การประชุมจะยังดำเนินต่อไปได้ พรรคร่วมรัฐบาลจะให้ความร่วมมือ

พร้อมทั้งคาดหวังถึง สว. ด้วย ว่า จะเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง และทำให้ขบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารเดินต่อไปได้
พชร ย้ำว่า ประเด็นที่พีมูฟขับเคลื่อนอยู่เป็นเรื่อง สิทธิชุมชน ซึ่งตอนนี้เรื่องสิทธิชุมชนอยู่ในหมวดหน้าที่ของรัฐ หมายความว่า รัฐจะพึงให้ หรือไม่พึงให้ก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการติดล็อก แค่ทำให้เรื่องสิทธิชุมชนเกิดขึ้นไม่ได้จริง ซึ่งก็จะเห็นจากปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านโดนไล่รื้อ โดนเขื่อน โดนเหมือง ไปทับในที่ของชาวบ้าน
ขณะที่เรื่อง ชาติพันธุ์ ซึ่งแม้จะปรากฎสิทธิของชาติพันธุ์ในมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญ แต่ก็เห็นว่า ไม่สามารถที่จะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิของชาติพันธุ์ได้เลย เหมือนเป็นเสือกระดาษ ในทางปฏิบัติพี่น้องชาติพันธุ์แทบจะใช้อะไรไม่ได้เลยจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในการคุ้มครองสิทธิ์ของตัวเอง ถือเป็นเรื่องใหญ่มากที่รัฐธรรมนูญจะสามารถคุ้มครองเรื่องสิทธิชุมชนและชาติพันธุ์ได้
“ความคาดหวังของเราอีกอย่างก็คือ ถ้าเราสามารถที่จะเลือกตั้ง สสร. ได้ 100% ผมหวังว่า พี่น้องชาติพันธุ์ ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 6 ล้านคนทั่วประเทศ ควรจะมีสัดส่วนอยู่ในนั้นอย่างน้อย 5 คน แล้วเขียนรัฐธรรมนูญให้คุ้มครองสิทธิ์ของพวกเขาได้เอง”
พชร คำชำนาญ

‘ที่อยู่อาศัย’ ปัจจัย 4 สิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ควรอยู่ในรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ นุชนารถ แท่นทอง จากเครือข่ายสลัมสี่ภาค ย้ำกับ The Active ว่า มีหลายกฎหมายที่เตรียมจะผลักดัน โดยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เป็นวิธีการที่ประชาชนจะเสนอกฎหมายได้ แต่พอเอาเข้าสภากลับบอกว่าไม่ได้เขียนในรัฐธรรมนูญ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ผลักดันและให้มีการยกมือสนับสนุน แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอ้างว่าผิดรัฐธรรมนูญ ต้องส่งตีความอีก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนว่าการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ว่าเรื่องของหลักการถ้าไม่มีบรรจุในรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถที่จะนำเข้ามาพิจารณาได้
เช่นเดียวกับเรื่อง ที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งที่จริง ๆ แล้วที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคน ควรบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีในรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ ปี 2560 ฉะนั้นก็อยากให้บรรจุในรัฐธรรมนูญ เพราะที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัย 4 มันจะต้องมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ

‘แก้รัฐธรรมนูญ’…อย่าปิดประตู ตั้งแต่ยังไม่พูดอะไรกันเลย
สอดคล้องกับ ธนพร วิจันทร์ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ยอมรับกับ The Active ว่า ผิดหวังกับรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องใช้คำว่า ไม่เห็นหัวประชาชน อยากจะให้ทั้ง สส. และ สว. ได้คิดถึงว่า เสียงของประชาชนทุกเสียงจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีการถกเถียงในรัฐสภา
“เราคาดหวังว่า อย่างน้อย สส. และ สว. ต้องมาทำหน้าที่ และถกเถียงกัน พูดถึงเนื้อหาข้อคิดเห็นที่ต่างกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ รับรู้ และตัดสินใจ ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ควรปิดประตูตั้งแต่ยังไม่พูดอะไรกันเลย”
ธนพร วิจันทร์